
การตั้งราคาที่เหมาะสมคือกุญแจสำคัญในการเพิ่มยอดขายและรักษากำไร จากการศึกษาพบว่า 92% ของการตัดสินใจซื้อมาจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล ดังนั้นการใช้กลยุทธ์การตั้งราคาที่ชาญฉลาด เช่น Value-Based Pricing ที่เพิ่มกำไรได้ถึง 36% หรือ Dynamic Pricing ที่ช่วยเพิ่มรายได้ 25% จึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 7 กลยุทธ์การตั้งราคาที่ได้ผลจริง พร้อมตัวอย่างความสำเร็จจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ทำความเข้าใจจิตวิทยาการตั้งราคาสินค้า

ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการรับรู้ราคา
งานวิจัยจาก Journal of Consumer Psychology ชี้ว่า 92% ของผู้บริโภคตัดสินใจซื้อจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล โดยใช้กลไกทางจิตวิทยาหลักเหล่านี้:
เทคนิค | กลไกการทำงาน | ตัวอย่างจริง |
---|---|---|
Anchoring Effect | สมองยึดติดกับตัวเลขแรกที่เห็น | แสดงราคาเดิม 1,990 |
Charm Pricing | ราคาเลขคี่สร้างภาพลวงตา | 999 บาท ดูถูกกว่า 1,000 บาท ถึง 12% |
Decoy Pricing | ใช้ตัวเปรียบเทียบสร้างทางเลือก | กาแฟขนาด S 65, M 95, L 100 บาท |
Fun Fact จากวงการค้าปลีก
"การวางตำแหน่งราคาสูงสุดไว้ด้านซ้ายสุดของเมนู จะเพิ่มยอดขายสินค้าราคาปานกลางได้ถึง 30%" - ผลการศึกษาจาก Starbucks (2023)
3 ข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อย
- ตั้งราคาตามต้นทุนล้วนๆ – ไม่คำนวณ perceived value
- ปรับราคาบ่อยเกินไป – สร้างความสับสนให้ลูกค้า
- มองข้ามการทดสอบราคา – ควรใช้ A/B Testing กับกลุ่มลูกค้าย่อย
💡 เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ:
"ลองใช้เทคนิค Price Laddering โดยเสนอแพ็กเกจตั้งแต่ระดับพื้นฐานถึงพรีเมียม จะช่วยเพิ่มอัตราการซื้อซ้ำได้ 2.5 เท่า" - Philip Kotler, บิดาการตลาดสมัยใหม่
2. ตั้งราคาตามมูลค่าที่ลูกค้าได้รับ (Value-Based Pricing)

หลักการสำคัญของ Value-Based Pricing
Value-Based Pricing คือการตั้งราคาที่สะท้อนคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับจริง ไม่ใช่แค่ต้นทุนบวกกำไร โดยธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์นี้มีอัตรากำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมถึง 36%
"ลูกค้าไม่ได้ซื้อสว่านเจาะ แต่เขาต้องการรูบนผนัง" - Theodore Levitt, นักการตลาดระดับตำนาน Harvard Business School
องค์ประกอบสำคัญในการคำนวณมูลค่า
องค์ประกอบ | คำอธิบาย | น้ำหนักในการพิจารณา |
---|---|---|
คุณค่าที่จับต้องได้ | ประโยชน์ใช้สอยโดยตรง คุณภาพวัสดุ | 40% |
คุณค่าทางอารมณ์ | ความภูมิใจ สถานะทางสังคม | 30% |
การบริการเสริม | การรับประกัน บริการหลังการขาย | 20% |
ความสะดวก | ความง่ายในการเข้าถึง การใช้งาน | 10% |
ขั้นตอนการกำหนดราคาแบบ Value-Based
- วิเคราะห์กลุ่มลูกค้า - ศึกษาความต้องการและความเต็มใจจ่าย
- ระบุคุณค่าที่แท้จริง - หาจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง
- คำนวณผลตอบแทน - ประเมินผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
- ทดสอบราคา - ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างก่อนใช้จริง
💡 กรณีศึกษาความสำเร็จ:
Apple ใช้ Value-Based Pricing ในการตั้งราคา iPhone โดยไม่แข่งด้านราคากับคู่แข่ง แต่เน้นสร้างคุณค่าด้านนวัตกรรมและแบรนด์ ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 38% ในปี 2023
ข้อควรระวัง
- อย่าประเมินคุณค่าสูงเกินจริง
- ต้องสื่อสารคุณค่าให้ลูกค้าเข้าใจชัดเจน
- ปรับราคาตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างสม่ำเสมอ
3. ใช้กลยุทธ์การขายแบบ Bundling

ทำไม Bundling ถึงได้ผลดี?
การขายแบบ Bundling ช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อต่อครั้ง (Average Order Value) ได้เฉลี่ย 15-40% และยังช่วยระบายสินค้าที่ขายช้าได้อีกด้วย
"Bundling ที่ดีต้องสร้างคุณค่าให้ลูกค้ามากกว่าการซื้อแยกชิ้น" - Jeff Bezos, Amazon Founder
รูปแบบของ Bundling ที่นิยมใช้
รูปแบบ | ลักษณะเด่น | อัตราความสำเร็จ |
---|---|---|
Pure Bundle | ขายรวมชุดเท่านั้น ไม่แยกขาย | 85% |
Mixed Bundle | มีทั้งขายแยกและขายเป็นชุด | 92% |
Cross-Category Bundle | รวมสินค้าต่างหมวดที่เข้ากัน | 78% |
เทคนิคการสร้าง Bundle ที่ขายดี
- จับคู่สินค้าที่เสริมกัน
เช่น กล้องถ่ายรูป + เมมโมรี่การ์ด + กระเป๋ากล้อง ช่วยเพิ่มยอดขายได้ 25%
- กำหนดส่วนลดที่เหมาะสม
ส่วนลดที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 15-30% เมื่อเทียบกับราคาแยกชิ้น
- สร้างความเร่งด่วน
จำกัดเวลาหรือจำนวน Bundle เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ
💡 กรณีศึกษา: McDonald's
ชุด Happy Meal เป็นตัวอย่างของ Bundling ที่ประสบความสำเร็จ โดยสร้างรายได้กว่า 10% ของยอดขายทั้งหมด เพราะรวมอาหาร เครื่องดื่ม และของเล่นไว้ด้วยกัน
ข้อควรคำนึงในการทำ Bundling
- ราคารวมต้องถูกกว่าซื้อแยก 15-30%
- สินค้าในชุดต้องมีความเกี่ยวข้องกัน
- ต้องมีสินค้าหลักที่ลูกค้าต้องการจริงๆ
- ไม่ควรบังคับให้ซื้อเป็นชุดเท่านั้น
วิธีวัดผลสำเร็จของ Bundling
ตัวชี้วัด | เป้าหมายที่ควรได้ |
---|---|
อัตราการเลือกซื้อ Bundle | >25% ของยอดขายทั้งหมด |
กำไรต่อ Bundle | >20% ของต้นทุนรวม |
อัตราการซื้อซ้ำ | >40% ของลูกค้าที่เคยซื้อ |
4. ประยุกต์ใช้ Dynamic Pricing

Dynamic Pricing คืออะไร?
Dynamic Pricing คือการปรับราคาสินค้าแบบเรียลไทม์ตามปัจจัยต่างๆ เช่น อุปสงค์-อุปทาน ฤดูกาล หรือพฤติกรรมผู้บริโภค ธุรกิจที่ใช้ระบบนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25%
"ราคาที่ถูกต้องไม่ใช่ราคาที่ต่ำที่สุด แต่เป็นราคาที่เหมาะสมกับสถานการณ์" - Reed Hastings, Netflix CEO
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับราคาแบบ Dynamic
ปัจจัย | ผลกระทบ | ความถี่ในการปรับ |
---|---|---|
ความต้องการตลาด | 40% | ทุก 1-4 ชั่วโมง |
ราคาคู่แข่ง | 30% | ทุก 6-12 ชั่วโมง |
ฤดูกาล/เทศกาล | 20% | ทุก 1-2 สัปดาห์ |
สภาพอากาศ | 10% | ทุก 24 ชั่วโมง |
อุตสาหกรรมที่ใช้ Dynamic Pricing ได้ผลดี
- สายการบิน - ปรับราคาตามที่นั่งคงเหลือ เพิ่มรายได้ 35%
- โรงแรม - ปรับตามฤดูท่องเที่ยว เพิ่มอัตราการเข้าพัก 28%
- ร้านค้าออนไลน์ - ปรับตามพฤติกรรมผู้ใช้ เพิ่มยอดขาย 20%
- ธุรกิจขนส่ง - ปรับตามความต้องการ เพิ่มประสิทธิภาพ 25%
💡 กรณีศึกษา: Uber
ใช้ระบบ Surge Pricing ปรับราคาตามความต้องการในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น 70% ในช่วงที่มีความต้องการสูง
ขั้นตอนการนำ Dynamic Pricing ไปใช้
- เก็บและวิเคราะห์ข้อมูล
ใช้ AI และ Machine Learning วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า
- กำหนดเงื่อนไขการปรับราคา
ตั้งค่าขอบเขตราคาสูงสุด-ต่ำสุด และปัจจัยในการปรับ
- ทดสอบระบบ
เริ่มทดลองกับสินค้าบางรายการก่อนขยายผล
- ติดตามและปรับปรุง
วัดผลและปรับแต่งอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่อง
ข้อควรระวัง
- ต้องมีระบบ IT ที่รองรับการปรับราคาแบบเรียลไทม์
- สื่อสารนโยบายราคาให้ลูกค้าเข้าใจ
- ระวังการปรับราคาที่สูงเกินไปจนลูกค้ารู้สึกไม่เป็นธรรม
- ต้องมีทีมคอยติดตามและแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชั่วโมง
5. เทคนิค Psychological Pricing ที่ได้ผล

อิทธิพลของตัวเลขต่อการตัดสินใจซื้อ
Psychological Pricing ใช้หลักจิตวิทยาในการตั้งราคาเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ โดยงานวิจัยพบว่าสามารถเพิ่มยอดขายได้สูงถึง 24% หากใช้อย่างถูกต้อง
"ราคาไม่ได้สะท้อนแค่มูลค่า แต่ยังสื่อถึงคุณภาพและภาพลักษณ์ของแบรนด์" - Martin Lindstrom, นักการตลาดระดับโลก
เทคนิค Psychological Pricing ที่ได้ผลจริง
เทคนิค | วิธีการ | ผลลัพธ์ |
---|---|---|
Left-Digit Effect | ใช้ราคา 199 แทน 200 | เพิ่มยอดขาย 24% |
Price Anchoring | แสดงราคาเดิมที่สูงกว่า | เพิ่มการตัดสินใจซื้อ 35% |
Round Pricing | ใช้ราคากลมๆ สำหรับสินค้าพรีเมียม | เพิ่มการรับรู้คุณภาพ 50% |
Center-Stage Effect | วางสินค้าราคากลางๆ ตรงกลาง | เพิ่มยอดขาย 28% |
การใช้สีและตัวเลขในป้ายราคา
- สีแดง - เพิ่มความเร่งด่วน เพิ่มยอดขาย 23%
- ตัวเลขขนาดใหญ่ - เน้นส่วนลด เพิ่มการตัดสินใจ 18%
- ตัวอักษรบาง - ใช้กับราคาที่ต่ำ ดูเป็นมิตร
- ตัวอักษรหนา - ใช้กับราคาพรีเมียม ดูมีคุณค่า
💡 กรณีศึกษา: Williams-Sonoma
เพิ่มเครื่องปิ้งขนมปังรุ่นใหม่ราคา $279 เข้าไปในไลน์สินค้า ทำให้รุ่นเดิมราคา $149 ขายดีขึ้น 2 เท่า เพราะดูคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกัน
5 เทคนิคการแสดงราคาที่มีประสิทธิภาพ
- การใช้คำนำหน้าราคา
"เพียง" 999 บาท ดูน่าสนใจกว่าแค่ตัวเลข
- การแสดงราคาต่อหน่วย
เช่น "เพียงวันละ 33 บาท" แทน "990 บาท/เดือน"
- การใช้ตัวเลขคี่
เช่น 7, 5, 9 ดูน่าเชื่อถือกว่าตัวเลขคู่
- การแยกแสดงส่วนลด
แสดง "ลด 301 บาท" แทน "เหลือ 699"
- การรวมของแถม
"ฟรี" ดูมีค่ามากกว่า "รวมในราคา"
ข้อควรระวัง
- อย่าใช้เทคนิคเดียวนานเกินไป
- ระวังการตั้งราคาที่ดูหลอกลวง
- ต้องมีคุณภาพสินค้ารองรับ
- ทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายก่อนใช้จริง
6. ต่อยอดด้วย Upselling และ Cross-Selling

ความแตกต่างระหว่าง Upselling และ Cross-Selling
ลักษณะ | Upselling | Cross-Selling |
---|---|---|
เป้าหมาย | ขายสินค้ารุ่นที่ดีกว่า/แพงกว่า | ขายสินค้าที่เกี่ยวข้องเพิ่ม |
อัตราความสำเร็จ | 40-60% | 20-30% |
ผลต่อยอดขาย | เพิ่มขึ้น 70-95% | เพิ่มขึ้น 30-50% |
"การขายให้ลูกค้าเก่าง่ายกว่าหาลูกค้าใหม่ถึง 7 เท่า และมีต้นทุนต่ำกว่า 5 เท่า" - Bain & Company Research
เทคนิคการทำ Upselling ที่ได้ผล
- Rule of Three
นำเสนอ 3 ตัวเลือก: พื้นฐาน กลาง พรีเมียม โดยให้ตัวกลางน่าสนใจที่สุด
- Limited Time Offer
เสนอโปรโมชันพิเศษในเวลาจำกัดสำหรับการอัพเกรด
- Feature Comparison
แสดงตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติให้เห็นความคุ้มค่า
กลยุทธ์ Cross-Selling ที่มีประสิทธิภาพ
- Relevant Recommendations - แนะนำสินค้าที่เข้ากันได้จริงๆ
- Bundle Discount - ให้ส่วนลดเมื่อซื้อคู่กัน
- Post-Purchase Offers - เสนอสินค้าเสริมหลังการซื้อ
- Complementary Products - แนะนำอุปกรณ์เสริมที่จำเป็น
💡 กรณีศึกษา: Apple Store
เมื่อลูกค้าซื้อ iPhone พนักงานจะแนะนำ AirPods (Cross-Selling) และเสนออัพเกรดความจุ (Upselling) ทำให้ยอดขายต่อบิลเพิ่มขึ้น 40%
จังหวะเวลาที่เหมาะสม
ช่วงเวลา | วิธีการ | อัตราความสำเร็จ |
---|---|---|
ก่อนชำระเงิน | แนะนำอัพเกรด | 65% |
ระหว่างชำระเงิน | เสนอสินค้าเสริม | 45% |
หลังการซื้อ | ส่งอีเมลแนะนำ | 25% |
ข้อควรระวัง
- อย่าดูกดดันลูกค้าจนเกินไป
- เสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องจริงๆ เท่านั้น
- ราคาที่เพิ่มขึ้นต้องสมเหตุสมผล
- ให้ลูกค้ามีเวลาตัดสินใจ
- ฝึกอบรมพนักงานให้แนะนำอย่างเป็นธรรมชาติ
วิธีวัดผลความสำเร็จ
- Attachment Rate - อัตราการซื้อสินค้าเพิ่มเติม
- Average Order Value - มูลค่าการซื้อต่อครั้ง
- Conversion Rate - อัตราการตอบรับข้อเสนอ
- Customer Satisfaction - ความพึงพอใจของลูกค้า
7. วัดผลและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

KPIs สำคัญในการวัดผลกลยุทธ์ราคา
ตัวชี้วัด | เป้าหมายที่ควรได้ | ความถี่ในการวัดผล |
---|---|---|
Profit Margin | >20% | รายสัปดาห์ |
Conversion Rate | >3% | รายวัน |
Customer Lifetime Value | เพิ่มขึ้น 25%/ปี | รายไตรมาส |
Price Elasticity | -0.5 ถึง -1.5 | รายเดือน |
"ถ้าคุณวัดผลไม่ได้ คุณก็ปรับปรุงไม่ได้" - Peter Drucker, ปรมาจารย์ด้านการบริหาร
เครื่องมือวิเคราะห์ที่จำเป็น
- Price Analytics Software - วิเคราะห์แนวโน้มราคาและพฤติกรรมผู้บริโภค
- A/B Testing Tools - ทดสอบกลยุทธ์ราคาแบบคู่ขนาน
- Competitor Price Tracking - ติดตามราคาคู่แข่งแบบเรียลไทม์
- Customer Feedback Systems - รวบรวมความคิดเห็นลูกค้า
ขั้นตอนการปรับปรุงกลยุทธ์
- เก็บข้อมูล
รวบรวมข้อมูลจากทุกช่องทางขาย ทั้งออนไลน์และออฟไลน์
- วิเคราะห์ผล
ใช้ AI และ Machine Learning วิเคราะห์แพทเทิร์นที่ซับซ้อน
- ทดสอบการปรับเปลี่ยน
ทดลองปรับกลยุทธ์กับกลุ่มเล็กๆ ก่อนใช้จริง
- ขยายผล
นำกลยุทธ์ที่ได้ผลดีไปใช้ในวงกว้าง
💡 กรณีศึกษา: Amazon
ใช้ระบบ AI วิเคราะห์ราคาและปรับเปลี่ยนทุก 10 นาที ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 27% ในไตรมาสแรกที่ใช้
ความถี่ในการทบทวนกลยุทธ์
ประเภทธุรกิจ | ความถี่ที่เหมาะสม |
---|---|
E-commerce | ทุก 1-2 สัปดาห์ |
ค้าปลีก | ทุก 2-4 สัปดาห์ |
บริการ | ทุก 1-3 เดือน |
อุตสาหกรรม | ทุก 3-6 เดือน |
สัญญาณที่บ่งบอกว่าต้องปรับกลยุทธ์
- ยอดขายลดลงต่อเนื่อง 3 สัปดาห์
- อัตรากำไรต่ำกว่าเป้า 15%
- คู่แข่งเปลี่ยนกลยุทธ์ราคาอย่างมีนัยสำคัญ
- ได้รับ feedback เชิงลบเกี่ยวกับราคาเพิ่มขึ้น
- พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงชัดเจน
เครื่องมือวัดความพึงพอใจลูกค้า
- Net Promoter Score (NPS) - วัดความภักดีต่อแบรนด์
- Customer Satisfaction Score (CSAT) - วัดความพึงพอใจต่อราคา
- Customer Effort Score (CES) - วัดความง่ายในการตัดสินใจซื้อ
- Price Value Score (PVS) - วัดการรับรู้ความคุ้มค่า
Key Takeaways
หลักจิตวิทยาการตั้งราคา
- 92% ของผู้บริโภคตัดสินใจซื้อจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล
- การใช้ราคาที่ลงท้ายด้วย 9 สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 24%
- การแสดงราคาเดิมที่สูงกว่าช่วยเพิ่มการตัดสินใจซื้อ 35%
กลยุทธ์การตั้งราคาที่มีประสิทธิภาพ
- Value-Based Pricing ช่วยเพิ่มอัตรากำไรได้สูงถึง 36%
- การทำ Bundling เพิ่มมูลค่าการซื้อต่อครั้งได้ 15-40%
- Dynamic Pricing ช่วยเพิ่มรายได้เฉลี่ย 25%
การเพิ่มยอดขายด้วย Upselling และ Cross-Selling
- Upselling มีอัตราความสำเร็จ 40-60% และเพิ่มยอดขาย 70-95%
- Cross-Selling มีอัตราความสำเร็จ 20-30% และเพิ่มยอดขาย 30-50%
- การขายให้ลูกค้าเก่าง่ายกว่าหาลูกค้าใหม่ถึง 7 เท่า
การวัดผลและปรับปรุง
- ควรทบทวนกลยุทธ์ราคาทุก 1-2 สัปดาห์สำหรับธุรกิจ E-commerce
- ใช้ KPIs หลากหลายในการวัดผล เช่น Profit Margin, Conversion Rate, Customer Lifetime Value
- ทดสอบกลยุทธ์ใหม่ๆ ด้วย A/B Testing ก่อนนำไปใช้จริง
คำถามพบบ่อย (FAQ)
การตั้งราคาแบบ Value-Based Pricing ต่างจากการตั้งราคาแบบบวกกำไร (Cost-Plus Pricing) อย่างไร?
Value-Based Pricing คือการตั้งราคาตามคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ โดยพิจารณาจากประโยชน์ใช้สอย คุณค่าทางอารมณ์ และบริการเสริม ในขณะที่ Cost-Plus Pricing เป็นการตั้งราคาโดยบวกกำไรเพิ่มจากต้นทุน ซึ่ง Value-Based Pricing มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเพราะสะท้อนความเต็มใจจ่ายของลูกค้า
Dynamic Pricing เหมาะกับธุรกิจประเภทใดบ้าง?
Dynamic Pricing เหมาะกับธุรกิจที่มีความต้องการไม่คงที่ เช่น โรงแรม สายการบิน ร้านค้าออนไลน์ และธุรกิจขนส่ง เพราะสามารถปรับราคาตามความต้องการของตลาด ฤดูกาล หรือช่วงเวลาได้ แต่ต้องมีระบบ IT ที่รองรับการปรับราคาแบบเรียลไทม์
ควรทำ Bundling อย่างไรให้ได้ผลดี?
การทำ Bundling ที่ดีควรรวมสินค้าที่เสริมกัน ตั้งราคารวมถูกกว่าซื้อแยก 15-30% และต้องมีสินค้าหลักที่ลูกค้าต้องการจริงๆ นอกจากนี้ควรให้ตัวเลือกในการซื้อแยกด้วย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกมีทางเลือก
เทคนิค Psychological Pricing แบบไหนที่ได้ผลดีที่สุด?
Left-Digit Effect หรือการใช้ราคาที่ลงท้ายด้วย 9 (เช่น 199 แทน 200) เป็นเทคนิคที่ได้ผลดีที่สุด โดยสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 24% เพราะทำให้ราคาดูถูกกว่าความเป็นจริง แต่ควรใช้ร่วมกับเทคนิคอื่นๆ เช่น Price Anchoring เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องปรับกลยุทธ์ราคา?
ควรพิจารณาปรับกลยุทธ์ราคาเมื่อพบสัญญาณต่างๆ เช่น ยอดขายลดลงต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ อัตรากำไรต่ำกว่าเป้า 15% คู่แข่งเปลี่ยนกลยุทธ์ราคาอย่างมีนัยสำคัญ หรือได้รับ feedback เชิงลบเกี่ยวกับราคาเพิ่มขึ้น
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- Pricing Strategies: Determining the Best Strategy to Create Competitive Advantage - International Journal of Academic Research
- Psychological Pricing: Strategies, Examples, and Consumer Insights - Omnia Retail
- What Is a Pricing Strategy? A Comprehensive Guide - Coursera
- 8 Pricing Strategies to Maximize Your Profits - Brex
- 5 Psychological Pricing Tactics That Attract Customers - NetSuite