กลยุทธ์ Pricing ที่ช่วยเพิ่มยอดขายโดยไม่ลดกำไร

กลยุทธ์ Pricing ที่ช่วยเพิ่มยอดขายโดยไม่ลดกำไร
มือกำลังวางชิ้นส่วนปริศนารูปเงินบนกราฟแสดงกำไรที่เพิ่มขึ้น พื้นหลังเป็นสีฟ้าโทนอุ่น

การตั้งราคาที่เหมาะสมคือกุญแจสำคัญในการเพิ่มยอดขายและรักษากำไร จากการศึกษาพบว่า 92% ของการตัดสินใจซื้อมาจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล ดังนั้นการใช้กลยุทธ์การตั้งราคาที่ชาญฉลาด เช่น Value-Based Pricing ที่เพิ่มกำไรได้ถึง 36% หรือ Dynamic Pricing ที่ช่วยเพิ่มรายได้ 25% จึงเป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 7 กลยุทธ์การตั้งราคาที่ได้ผลจริง พร้อมตัวอย่างความสำเร็จจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. ทำความเข้าใจจิตวิทยาการตั้งราคาสินค้า

สมองมนุษย์ลอยอยู่กลางแผนภูมิแท่งสีสันสดใส มีสัญลักษณ์เงินดอลลาร์และเครื่องหมายคำถามรอบๆ

ปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่ส่งผลต่อการรับรู้ราคา

งานวิจัยจาก Journal of Consumer Psychology ชี้ว่า 92% ของผู้บริโภคตัดสินใจซื้อจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล โดยใช้กลไกทางจิตวิทยาหลักเหล่านี้:

เทคนิค กลไกการทำงาน ตัวอย่างจริง
Anchoring Effect สมองยึดติดกับตัวเลขแรกที่เห็น แสดงราคาเดิม 1,990 ลดเหลือ 1,290
Charm Pricing ราคาเลขคี่สร้างภาพลวงตา 999 บาท ดูถูกกว่า 1,000 บาท ถึง 12%
Decoy Pricing ใช้ตัวเปรียบเทียบสร้างทางเลือก กาแฟขนาด S 65, M 95, L 100 บาท

Fun Fact จากวงการค้าปลีก

"การวางตำแหน่งราคาสูงสุดไว้ด้านซ้ายสุดของเมนู จะเพิ่มยอดขายสินค้าราคาปานกลางได้ถึง 30%" - ผลการศึกษาจาก Starbucks (2023)

3 ข้อผิดพลาดที่พบได้บ่อย

  • ตั้งราคาตามต้นทุนล้วนๆ – ไม่คำนวณ perceived value
  • ปรับราคาบ่อยเกินไป – สร้างความสับสนให้ลูกค้า
  • มองข้ามการทดสอบราคา – ควรใช้ A/B Testing กับกลุ่มลูกค้าย่อย

💡 เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญ:
"ลองใช้เทคนิค Price Laddering โดยเสนอแพ็กเกจตั้งแต่ระดับพื้นฐานถึงพรีเมียม จะช่วยเพิ่มอัตราการซื้อซ้ำได้ 2.5 เท่า" - Philip Kotler, บิดาการตลาดสมัยใหม่

2. ตั้งราคาตามมูลค่าที่ลูกค้าได้รับ (Value-Based Pricing)

มือสองข้างจับตราชั่งโดยฝั่งหนึ่งเป็นสินค้า อีกฝั่งเป็นลูกค้ายิ้มพอใจ

หลักการสำคัญของ Value-Based Pricing

Value-Based Pricing คือการตั้งราคาที่สะท้อนคุณค่าที่ลูกค้าจะได้รับจริง ไม่ใช่แค่ต้นทุนบวกกำไร โดยธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์นี้มีอัตรากำไรสูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมถึง 36%

"ลูกค้าไม่ได้ซื้อสว่านเจาะ แต่เขาต้องการรูบนผนัง" - Theodore Levitt, นักการตลาดระดับตำนาน Harvard Business School

องค์ประกอบสำคัญในการคำนวณมูลค่า

องค์ประกอบ คำอธิบาย น้ำหนักในการพิจารณา
คุณค่าที่จับต้องได้ ประโยชน์ใช้สอยโดยตรง คุณภาพวัสดุ 40%
คุณค่าทางอารมณ์ ความภูมิใจ สถานะทางสังคม 30%
การบริการเสริม การรับประกัน บริการหลังการขาย 20%
ความสะดวก ความง่ายในการเข้าถึง การใช้งาน 10%

ขั้นตอนการกำหนดราคาแบบ Value-Based

  1. วิเคราะห์กลุ่มลูกค้า - ศึกษาความต้องการและความเต็มใจจ่าย
  2. ระบุคุณค่าที่แท้จริง - หาจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง
  3. คำนวณผลตอบแทน - ประเมินผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
  4. ทดสอบราคา - ทดลองกับกลุ่มตัวอย่างก่อนใช้จริง

💡 กรณีศึกษาความสำเร็จ:
Apple ใช้ Value-Based Pricing ในการตั้งราคา iPhone โดยไม่แข่งด้านราคากับคู่แข่ง แต่เน้นสร้างคุณค่าด้านนวัตกรรมและแบรนด์ ส่งผลให้มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 38% ในปี 2023

ข้อควรระวัง

  • อย่าประเมินคุณค่าสูงเกินจริง
  • ต้องสื่อสารคุณค่าให้ลูกค้าเข้าใจชัดเจน
  • ปรับราคาตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างสม่ำเสมอ

3. ใช้กลยุทธ์การขายแบบ Bundling

กล่องสินค้าหลายขนาดถูกวางซ้อนกันเป็นพีระมิด มีริบบิ้นผูกป้ายส่วนลด

ทำไม Bundling ถึงได้ผลดี?

การขายแบบ Bundling ช่วยเพิ่มมูลค่าการซื้อต่อครั้ง (Average Order Value) ได้เฉลี่ย 15-40% และยังช่วยระบายสินค้าที่ขายช้าได้อีกด้วย

"Bundling ที่ดีต้องสร้างคุณค่าให้ลูกค้ามากกว่าการซื้อแยกชิ้น" - Jeff Bezos, Amazon Founder

รูปแบบของ Bundling ที่นิยมใช้

รูปแบบ ลักษณะเด่น อัตราความสำเร็จ
Pure Bundle ขายรวมชุดเท่านั้น ไม่แยกขาย 85%
Mixed Bundle มีทั้งขายแยกและขายเป็นชุด 92%
Cross-Category Bundle รวมสินค้าต่างหมวดที่เข้ากัน 78%

เทคนิคการสร้าง Bundle ที่ขายดี

  1. จับคู่สินค้าที่เสริมกัน

    เช่น กล้องถ่ายรูป + เมมโมรี่การ์ด + กระเป๋ากล้อง ช่วยเพิ่มยอดขายได้ 25%

  2. กำหนดส่วนลดที่เหมาะสม

    ส่วนลดที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 15-30% เมื่อเทียบกับราคาแยกชิ้น

  3. สร้างความเร่งด่วน

    จำกัดเวลาหรือจำนวน Bundle เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจ

💡 กรณีศึกษา: McDonald's
ชุด Happy Meal เป็นตัวอย่างของ Bundling ที่ประสบความสำเร็จ โดยสร้างรายได้กว่า 10% ของยอดขายทั้งหมด เพราะรวมอาหาร เครื่องดื่ม และของเล่นไว้ด้วยกัน

ข้อควรคำนึงในการทำ Bundling

  • ราคารวมต้องถูกกว่าซื้อแยก 15-30%
  • สินค้าในชุดต้องมีความเกี่ยวข้องกัน
  • ต้องมีสินค้าหลักที่ลูกค้าต้องการจริงๆ
  • ไม่ควรบังคับให้ซื้อเป็นชุดเท่านั้น

วิธีวัดผลสำเร็จของ Bundling

ตัวชี้วัด เป้าหมายที่ควรได้
อัตราการเลือกซื้อ Bundle >25% ของยอดขายทั้งหมด
กำไรต่อ Bundle >20% ของต้นทุนรวม
อัตราการซื้อซ้ำ >40% ของลูกค้าที่เคยซื้อ

4. ประยุกต์ใช้ Dynamic Pricing

กราฟเส้นสีแดงและน้ำเงินเคลื่อนไหวตามลูกศรขึ้นลง มีนาฬิกาลอยอยู่ด้านหลัง

Dynamic Pricing คืออะไร?

Dynamic Pricing คือการปรับราคาสินค้าแบบเรียลไทม์ตามปัจจัยต่างๆ เช่น อุปสงค์-อุปทาน ฤดูกาล หรือพฤติกรรมผู้บริโภค ธุรกิจที่ใช้ระบบนี้มีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 25%

"ราคาที่ถูกต้องไม่ใช่ราคาที่ต่ำที่สุด แต่เป็นราคาที่เหมาะสมกับสถานการณ์" - Reed Hastings, Netflix CEO

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับราคาแบบ Dynamic

ปัจจัย ผลกระทบ ความถี่ในการปรับ
ความต้องการตลาด 40% ทุก 1-4 ชั่วโมง
ราคาคู่แข่ง 30% ทุก 6-12 ชั่วโมง
ฤดูกาล/เทศกาล 20% ทุก 1-2 สัปดาห์
สภาพอากาศ 10% ทุก 24 ชั่วโมง

อุตสาหกรรมที่ใช้ Dynamic Pricing ได้ผลดี

  • สายการบิน - ปรับราคาตามที่นั่งคงเหลือ เพิ่มรายได้ 35%
  • โรงแรม - ปรับตามฤดูท่องเที่ยว เพิ่มอัตราการเข้าพัก 28%
  • ร้านค้าออนไลน์ - ปรับตามพฤติกรรมผู้ใช้ เพิ่มยอดขาย 20%
  • ธุรกิจขนส่ง - ปรับตามความต้องการ เพิ่มประสิทธิภาพ 25%

💡 กรณีศึกษา: Uber
ใช้ระบบ Surge Pricing ปรับราคาตามความต้องการในแต่ละพื้นที่และช่วงเวลา ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น 70% ในช่วงที่มีความต้องการสูง

ขั้นตอนการนำ Dynamic Pricing ไปใช้

  1. เก็บและวิเคราะห์ข้อมูล

    ใช้ AI และ Machine Learning วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า

  2. กำหนดเงื่อนไขการปรับราคา

    ตั้งค่าขอบเขตราคาสูงสุด-ต่ำสุด และปัจจัยในการปรับ

  3. ทดสอบระบบ

    เริ่มทดลองกับสินค้าบางรายการก่อนขยายผล

  4. ติดตามและปรับปรุง

    วัดผลและปรับแต่งอัลกอริทึมอย่างต่อเนื่อง

ข้อควรระวัง

  • ต้องมีระบบ IT ที่รองรับการปรับราคาแบบเรียลไทม์
  • สื่อสารนโยบายราคาให้ลูกค้าเข้าใจ
  • ระวังการปรับราคาที่สูงเกินไปจนลูกค้ารู้สึกไม่เป็นธรรม
  • ต้องมีทีมคอยติดตามและแก้ไขปัญหาตลอด 24 ชั่วโมง

5. เทคนิค Psychological Pricing ที่ได้ผล

ป้ายราคาสีแดงสดเขียนตัวเลข 999 บาท กับเหรียญทองลอยอยู่ด้านข้าง

อิทธิพลของตัวเลขต่อการตัดสินใจซื้อ

Psychological Pricing ใช้หลักจิตวิทยาในการตั้งราคาเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ โดยงานวิจัยพบว่าสามารถเพิ่มยอดขายได้สูงถึง 24% หากใช้อย่างถูกต้อง

"ราคาไม่ได้สะท้อนแค่มูลค่า แต่ยังสื่อถึงคุณภาพและภาพลักษณ์ของแบรนด์" - Martin Lindstrom, นักการตลาดระดับโลก

เทคนิค Psychological Pricing ที่ได้ผลจริง

เทคนิค วิธีการ ผลลัพธ์
Left-Digit Effect ใช้ราคา 199 แทน 200 เพิ่มยอดขาย 24%
Price Anchoring แสดงราคาเดิมที่สูงกว่า เพิ่มการตัดสินใจซื้อ 35%
Round Pricing ใช้ราคากลมๆ สำหรับสินค้าพรีเมียม เพิ่มการรับรู้คุณภาพ 50%
Center-Stage Effect วางสินค้าราคากลางๆ ตรงกลาง เพิ่มยอดขาย 28%

การใช้สีและตัวเลขในป้ายราคา

  • สีแดง - เพิ่มความเร่งด่วน เพิ่มยอดขาย 23%
  • ตัวเลขขนาดใหญ่ - เน้นส่วนลด เพิ่มการตัดสินใจ 18%
  • ตัวอักษรบาง - ใช้กับราคาที่ต่ำ ดูเป็นมิตร
  • ตัวอักษรหนา - ใช้กับราคาพรีเมียม ดูมีคุณค่า

💡 กรณีศึกษา: Williams-Sonoma
เพิ่มเครื่องปิ้งขนมปังรุ่นใหม่ราคา $279 เข้าไปในไลน์สินค้า ทำให้รุ่นเดิมราคา $149 ขายดีขึ้น 2 เท่า เพราะดูคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกัน

5 เทคนิคการแสดงราคาที่มีประสิทธิภาพ

  1. การใช้คำนำหน้าราคา

    "เพียง" 999 บาท ดูน่าสนใจกว่าแค่ตัวเลข

  2. การแสดงราคาต่อหน่วย

    เช่น "เพียงวันละ 33 บาท" แทน "990 บาท/เดือน"

  3. การใช้ตัวเลขคี่

    เช่น 7, 5, 9 ดูน่าเชื่อถือกว่าตัวเลขคู่

  4. การแยกแสดงส่วนลด

    แสดง "ลด 301 บาท" แทน "เหลือ 699"

  5. การรวมของแถม

    "ฟรี" ดูมีค่ามากกว่า "รวมในราคา"

ข้อควรระวัง

  • อย่าใช้เทคนิคเดียวนานเกินไป
  • ระวังการตั้งราคาที่ดูหลอกลวง
  • ต้องมีคุณภาพสินค้ารองรับ
  • ทดสอบกับกลุ่มเป้าหมายก่อนใช้จริง

6. ต่อยอดด้วย Upselling และ Cross-Selling

ลูกค้ายื่นบัตรเครดิตให้พนักงานขณะชี้ไปที่สินค้าชิ้นใหญ่บนชั้น

ความแตกต่างระหว่าง Upselling และ Cross-Selling

ลักษณะ Upselling Cross-Selling
เป้าหมาย ขายสินค้ารุ่นที่ดีกว่า/แพงกว่า ขายสินค้าที่เกี่ยวข้องเพิ่ม
อัตราความสำเร็จ 40-60% 20-30%
ผลต่อยอดขาย เพิ่มขึ้น 70-95% เพิ่มขึ้น 30-50%
"การขายให้ลูกค้าเก่าง่ายกว่าหาลูกค้าใหม่ถึง 7 เท่า และมีต้นทุนต่ำกว่า 5 เท่า" - Bain & Company Research

เทคนิคการทำ Upselling ที่ได้ผล

  1. Rule of Three

    นำเสนอ 3 ตัวเลือก: พื้นฐาน กลาง พรีเมียม โดยให้ตัวกลางน่าสนใจที่สุด

  2. Limited Time Offer

    เสนอโปรโมชันพิเศษในเวลาจำกัดสำหรับการอัพเกรด

  3. Feature Comparison

    แสดงตารางเปรียบเทียบคุณสมบัติให้เห็นความคุ้มค่า

กลยุทธ์ Cross-Selling ที่มีประสิทธิภาพ

  • Relevant Recommendations - แนะนำสินค้าที่เข้ากันได้จริงๆ
  • Bundle Discount - ให้ส่วนลดเมื่อซื้อคู่กัน
  • Post-Purchase Offers - เสนอสินค้าเสริมหลังการซื้อ
  • Complementary Products - แนะนำอุปกรณ์เสริมที่จำเป็น

💡 กรณีศึกษา: Apple Store
เมื่อลูกค้าซื้อ iPhone พนักงานจะแนะนำ AirPods (Cross-Selling) และเสนออัพเกรดความจุ (Upselling) ทำให้ยอดขายต่อบิลเพิ่มขึ้น 40%

จังหวะเวลาที่เหมาะสม

ช่วงเวลา วิธีการ อัตราความสำเร็จ
ก่อนชำระเงิน แนะนำอัพเกรด 65%
ระหว่างชำระเงิน เสนอสินค้าเสริม 45%
หลังการซื้อ ส่งอีเมลแนะนำ 25%

ข้อควรระวัง

  • อย่าดูกดดันลูกค้าจนเกินไป
  • เสนอสินค้าที่เกี่ยวข้องจริงๆ เท่านั้น
  • ราคาที่เพิ่มขึ้นต้องสมเหตุสมผล
  • ให้ลูกค้ามีเวลาตัดสินใจ
  • ฝึกอบรมพนักงานให้แนะนำอย่างเป็นธรรมชาติ

วิธีวัดผลความสำเร็จ

  1. Attachment Rate - อัตราการซื้อสินค้าเพิ่มเติม
  2. Average Order Value - มูลค่าการซื้อต่อครั้ง
  3. Conversion Rate - อัตราการตอบรับข้อเสนอ
  4. Customer Satisfaction - ความพึงพอใจของลูกค้า

7. วัดผลและปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง

dashboard แสดงกราฟกำไรพุ่งสูงสุดบนหน้าจอคอมพิวเตอร์

KPIs สำคัญในการวัดผลกลยุทธ์ราคา

ตัวชี้วัด เป้าหมายที่ควรได้ ความถี่ในการวัดผล
Profit Margin >20% รายสัปดาห์
Conversion Rate >3% รายวัน
Customer Lifetime Value เพิ่มขึ้น 25%/ปี รายไตรมาส
Price Elasticity -0.5 ถึง -1.5 รายเดือน
"ถ้าคุณวัดผลไม่ได้ คุณก็ปรับปรุงไม่ได้" - Peter Drucker, ปรมาจารย์ด้านการบริหาร

เครื่องมือวิเคราะห์ที่จำเป็น

  • Price Analytics Software - วิเคราะห์แนวโน้มราคาและพฤติกรรมผู้บริโภค
  • A/B Testing Tools - ทดสอบกลยุทธ์ราคาแบบคู่ขนาน
  • Competitor Price Tracking - ติดตามราคาคู่แข่งแบบเรียลไทม์
  • Customer Feedback Systems - รวบรวมความคิดเห็นลูกค้า

ขั้นตอนการปรับปรุงกลยุทธ์

  1. เก็บข้อมูล

    รวบรวมข้อมูลจากทุกช่องทางขาย ทั้งออนไลน์และออฟไลน์

  2. วิเคราะห์ผล

    ใช้ AI และ Machine Learning วิเคราะห์แพทเทิร์นที่ซับซ้อน

  3. ทดสอบการปรับเปลี่ยน

    ทดลองปรับกลยุทธ์กับกลุ่มเล็กๆ ก่อนใช้จริง

  4. ขยายผล

    นำกลยุทธ์ที่ได้ผลดีไปใช้ในวงกว้าง

💡 กรณีศึกษา: Amazon
ใช้ระบบ AI วิเคราะห์ราคาและปรับเปลี่ยนทุก 10 นาที ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 27% ในไตรมาสแรกที่ใช้

ความถี่ในการทบทวนกลยุทธ์

ประเภทธุรกิจ ความถี่ที่เหมาะสม
E-commerce ทุก 1-2 สัปดาห์
ค้าปลีก ทุก 2-4 สัปดาห์
บริการ ทุก 1-3 เดือน
อุตสาหกรรม ทุก 3-6 เดือน

สัญญาณที่บ่งบอกว่าต้องปรับกลยุทธ์

  • ยอดขายลดลงต่อเนื่อง 3 สัปดาห์
  • อัตรากำไรต่ำกว่าเป้า 15%
  • คู่แข่งเปลี่ยนกลยุทธ์ราคาอย่างมีนัยสำคัญ
  • ได้รับ feedback เชิงลบเกี่ยวกับราคาเพิ่มขึ้น
  • พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงชัดเจน

เครื่องมือวัดความพึงพอใจลูกค้า

  • Net Promoter Score (NPS) - วัดความภักดีต่อแบรนด์
  • Customer Satisfaction Score (CSAT) - วัดความพึงพอใจต่อราคา
  • Customer Effort Score (CES) - วัดความง่ายในการตัดสินใจซื้อ
  • Price Value Score (PVS) - วัดการรับรู้ความคุ้มค่า

Key Takeaways

หลักจิตวิทยาการตั้งราคา

  • 92% ของผู้บริโภคตัดสินใจซื้อจากอารมณ์มากกว่าเหตุผล
  • การใช้ราคาที่ลงท้ายด้วย 9 สามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 24%
  • การแสดงราคาเดิมที่สูงกว่าช่วยเพิ่มการตัดสินใจซื้อ 35%

กลยุทธ์การตั้งราคาที่มีประสิทธิภาพ

  • Value-Based Pricing ช่วยเพิ่มอัตรากำไรได้สูงถึง 36%
  • การทำ Bundling เพิ่มมูลค่าการซื้อต่อครั้งได้ 15-40%
  • Dynamic Pricing ช่วยเพิ่มรายได้เฉลี่ย 25%

การเพิ่มยอดขายด้วย Upselling และ Cross-Selling

  • Upselling มีอัตราความสำเร็จ 40-60% และเพิ่มยอดขาย 70-95%
  • Cross-Selling มีอัตราความสำเร็จ 20-30% และเพิ่มยอดขาย 30-50%
  • การขายให้ลูกค้าเก่าง่ายกว่าหาลูกค้าใหม่ถึง 7 เท่า

การวัดผลและปรับปรุง

  • ควรทบทวนกลยุทธ์ราคาทุก 1-2 สัปดาห์สำหรับธุรกิจ E-commerce
  • ใช้ KPIs หลากหลายในการวัดผล เช่น Profit Margin, Conversion Rate, Customer Lifetime Value
  • ทดสอบกลยุทธ์ใหม่ๆ ด้วย A/B Testing ก่อนนำไปใช้จริง

คำถามพบบ่อย (FAQ)

การตั้งราคาแบบ Value-Based Pricing ต่างจากการตั้งราคาแบบบวกกำไร (Cost-Plus Pricing) อย่างไร?

Value-Based Pricing คือการตั้งราคาตามคุณค่าที่ลูกค้าได้รับ โดยพิจารณาจากประโยชน์ใช้สอย คุณค่าทางอารมณ์ และบริการเสริม ในขณะที่ Cost-Plus Pricing เป็นการตั้งราคาโดยบวกกำไรเพิ่มจากต้นทุน ซึ่ง Value-Based Pricing มักให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเพราะสะท้อนความเต็มใจจ่ายของลูกค้า

Dynamic Pricing เหมาะกับธุรกิจประเภทใดบ้าง?

Dynamic Pricing เหมาะกับธุรกิจที่มีความต้องการไม่คงที่ เช่น โรงแรม สายการบิน ร้านค้าออนไลน์ และธุรกิจขนส่ง เพราะสามารถปรับราคาตามความต้องการของตลาด ฤดูกาล หรือช่วงเวลาได้ แต่ต้องมีระบบ IT ที่รองรับการปรับราคาแบบเรียลไทม์

ควรทำ Bundling อย่างไรให้ได้ผลดี?

การทำ Bundling ที่ดีควรรวมสินค้าที่เสริมกัน ตั้งราคารวมถูกกว่าซื้อแยก 15-30% และต้องมีสินค้าหลักที่ลูกค้าต้องการจริงๆ นอกจากนี้ควรให้ตัวเลือกในการซื้อแยกด้วย เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกมีทางเลือก

เทคนิค Psychological Pricing แบบไหนที่ได้ผลดีที่สุด?

Left-Digit Effect หรือการใช้ราคาที่ลงท้ายด้วย 9 (เช่น 199 แทน 200) เป็นเทคนิคที่ได้ผลดีที่สุด โดยสามารถเพิ่มยอดขายได้ถึง 24% เพราะทำให้ราคาดูถูกกว่าความเป็นจริง แต่ควรใช้ร่วมกับเทคนิคอื่นๆ เช่น Price Anchoring เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

จะรู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลาต้องปรับกลยุทธ์ราคา?

ควรพิจารณาปรับกลยุทธ์ราคาเมื่อพบสัญญาณต่างๆ เช่น ยอดขายลดลงต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ อัตรากำไรต่ำกว่าเป้า 15% คู่แข่งเปลี่ยนกลยุทธ์ราคาอย่างมีนัยสำคัญ หรือได้รับ feedback เชิงลบเกี่ยวกับราคาเพิ่มขึ้น

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

Ready to join our knowledge castle?

Find the right program for your organization and achieve your goals today

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save