
“การเริ่มต้นโดยไม่รู้ปลายทาง อาจทำให้เราไปถึงเส้นชัยที่มีค่ากว่าที่เคยวาดฝัน”
🗺️การบริหารโครงการตามมาตรฐาน PMP มักเริ่มจากการย้ำเสมอว่า เป้าหมายต้องชัดเจน เพราะเป้าหมายคือสิ่งที่จะบอกทุกฝ่ายว่าโครงการกำลังจะไปทางไหน ใช้ทรัพยากรเท่าไร และเมื่อไหร่จึงจะเรียกว่าประสบความสำเร็จ หากเป้าหมายไม่ชัด ทุกอย่างดูเหมือนจะไร้ทิศทาง แต่เมื่อมองจากโลกธุรกิจจริงในปัจจุบัน เรากลับพบว่า มีโครงการจำนวนไม่น้อยที่เริ่มต้นด้วยความไม่ชัดเจน แต่กลับเดินไปได้เร็วกว่า และหลายครั้งยังได้ผลลัพธ์ที่ตอบโจทย์มากกว่าเป้าหมายเดิมด้วย
ในช่วงเวลาที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน การที่องค์กรหรือทีมโครงการพยายามนิยามเป้าหมายให้แน่นอนตั้งแต่แรก อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะเป้าหมายที่ชัดเกินไปอาจกลายเป็นพันธนาการที่ทำให้ทีมไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้น การเกาะติดอยู่กับเป้าหมายที่เขียนไว้ตั้งแต่ต้นจึงไม่ต่างอะไรกับการเดินทางด้วยแผนที่เก่าในเมืองที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
🚀ลองมองไปที่สตาร์ตอัพด้านเทคโนโลยีจำนวนมาก พวกเขามักเริ่มต้นด้วยเป้าหมายเพียงคร่าวๆ ว่าอยากแก้ปัญหาของลูกค้าประเภทหนึ่ง แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์สุดท้ายจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร การไม่เร่งรีบกำหนดเป้าหมายแบบตายตัวนี้เอง กลับทำให้ทีมสามารถพัฒนา MVP ได้รวดเร็ว ออกสู่ตลาด เก็บข้อมูลจริง แล้วนำผลลัพธ์กลับมาปรับปรุง การเรียนรู้ที่ได้ในระหว่างทางคือสิ่งที่หล่อหลอมให้โครงการเดินต่อไปได้ในทิศทางที่ถูกต้องกว่าการยึดติดกับเป้าหมายตั้งแต่วันแรก
ในทางกลับกัน หากโครงการในองค์กรใหญ่ถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนเกินไป เช่น “เพิ่มยอดขาย 20% ภายใน 12 เดือนด้วยผลิตภัณฑ์ A” ทีมจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อเดินไปสู่จุดนั้น แต่หากตลาดเปลี่ยน พฤติกรรมผู้บริโภคไม่ตอบรับ หรือคู่แข่งออกนวัตกรรมที่เหนือกว่า เป้าหมายที่ชัดเจนเกินไปกลับกลายเป็นข้อจำกัดที่ทำให้โครงการไม่สามารถหมุนทิศทางได้ ผลลัพธ์สุดท้ายคือโครงการสำเร็จในเชิงตัวเลข แต่ไม่สำเร็จในเชิงธุรกิจ
✅มาตรฐาน PMP ไม่ได้ขัดกับแนวคิดนี้เลย ตรงกันข้าม PMP ช่วยให้การทำงานกับความไม่ชัดเจนเป็นระบบมากขึ้น Project Charter ไม่จำเป็นต้องนิยามเป้าหมายในรายละเอียดสุดท้าย แต่สามารถเริ่มจากการกำหนด Vision หรือ Business Case ที่ตอบคำถามว่า “ทำไมต้องทำโครงการนี้” ขณะที่ Scope Statement ในช่วงแรกอาจถูกนิยามในระดับสูง เพื่อให้ทีมสามารถเริ่มเดินหน้าไปได้ เมื่อโครงการเข้าสู่ Monitoring & Controlling จึงค่อยปรับรายละเอียดให้ชัดขึ้นตามข้อมูลใหม่ที่ได้มา
มี checkpoint มี milestone และมีตัวชี้วัดที่ทำให้ทีมไม่หลงทาง แม้จะเปลี่ยนเป้าหมายระหว่างทางก็ตาม
ตัวอย่างในอุตสาหกรรมดิจิทัลชี้ให้เห็นว่า การเริ่มด้วยเป้าหมายที่ไม่ชัดเจน แต่มีกรอบการบริหารที่ดี สามารถสร้างนวัตกรรมได้มากกว่า บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกหลายแห่งไม่ยึดติดกับแผนที่ถูกเขียนไว้เมื่อหลายปีก่อน แต่ยอมปรับเปลี่ยนเป้าหมายใหญ่ตามบริบทใหม่โดยไม่สูญเสียทิศทาง PMP คือเครื่องมือที่ทำให้การเปลี่ยนเป้าหมายนี้ไม่กลายเป็นความโกลาหล แต่ยังคงเป็นการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่มีเหตุผลรองรับ
สิ่งที่โครงการยุคใหม่ต้องการจึงไม่ใช่เป้าหมายที่คมชัดจนตายตัว แต่คือการจัดการโครงการที่ยอมให้ความไม่ชัดเจนทำหน้าที่เป็นพื้นที่ทดลอง และใช้มาตรฐาน PMP เป็นกรอบในการจัดการกับความไม่แน่นอนนั้น ความสามารถในการทำงานร่วมกับสิ่งที่ยังไม่แน่ชัด กลายเป็นทักษะใหม่ที่ผู้จัดการโครงการทุกคนควรมี เพราะโลกธุรกิจวันนี้ไม่ได้รอให้เรากำหนดเป้าหมายเสร็จสมบูรณ์ก่อนแล้วค่อยเริ่มเดิน แต่บังคับให้เราเริ่มเดิน แล้วเรียนรู้ เปลี่ยน และปรับไปพร้อมกัน
✨บทเรียนจากตรงนี้คือ เป้าหมายชัดเจนเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไม่ควรเข้าใจว่าชัดเจนตั้งแต่ต้นคือกุญแจเดียวของความสำเร็จ ความคลุมเครือบางครั้งก็ไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นตัวเร่งให้ทีมเรียนรู้และไปถึงผลลัพธ์ที่ดีกว่า ทั้งหมดนี้ PMP ยังเป็นมาตรฐานที่คอยกำกับอยู่เบื้องหลัง ทำให้การเดินทางท่ามกลางความไม่ชัดเจนไม่ใช่การเสี่ยงโชค แต่เป็นการบริหารจัดการที่มีทิศทาง
เกี่ยวกับผู้เขียน
หลักสูตรที่เกี่ยวข้อง
Effective Project Management
30-31 ต.ค. 2568 (รุ่นที่ 2)
- 2 days
- KCT Academy Team
- M Level/D Level/C Level
Effective Project Management
28-29 ส.ค. 2568 (รุ่นที่ 1)
- 2 days
- KCT Academy Team
- M Level/D Level/C Level
การพัฒนาทักษะหัวหน้างาน
ยุคใหม่
15 ส.ค. 2568 (รุ่นที่ 2)
- 1 days
- KCT Academy Team
- M Level/D Level/C Level