
Crisis Management (ตอนที่ 9): ภาวะผู้นำในยุค AI
พูดถึงตอนที่ 9 คำว่า "ผู้นำ" สำหรับการแก้วิกฤติต่างๆให้ผ่านไปอย่างมีประสิทธิภาพของทุกองค์กรนั้นสำคัญมากๆ
👑การจัดการวิกฤตไม่ว่าจะอยู่ในระดับใด ล้วนต้องมี “ผู้นำ” เป็นแกนกลาง เพราะแม้ระบบ AI จะสามารถตรวจจับสัญญาณ เตือนภัยล่วงหน้า และช่วยประมวลผลข้อมูลได้รวดเร็วเพียงใด แต่การตัดสินใจที่มีผลต่อชีวิตองค์กรยังต้องพึ่งพามนุษย์ ผู้นำจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่กำหนดว่าองค์กรจะล้มเหลวหรือก้าวข้ามวิกฤตไปได้
ผู้นำในยุค AI ต้องมีคุณลักษณะสามประการที่แตกต่างจากอดีต
1. ความไวในการตัดสินใจ (Decisive Agility): ในยุคดิจิทัล วิกฤตไม่เปิดโอกาสให้มีเวลานั่งประชุมยืดยาว การตัดสินใจต้องกระชับและทันที ผู้นำต้องรู้ว่าเมื่อใดควรใช้ข้อมูลจาก AI และเมื่อใดควรใช้วิจารณญาณของมนุษย์ หลักการ “Golden Minute” กลายเป็นเครื่องวัดคุณภาพของภาวะผู้นำ
2. ความสามารถในการสื่อสาร (Communicative Clarity): ทฤษฎี SCCT ของ Coombs ชี้ว่าการสื่อสารคือกุญแจสำคัญในวิกฤต ผู้นำที่ดีในยุค AI ต้องสามารถสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภายในและภายนอกอย่างโปร่งใส รวดเร็ว และสร้างความเชื่อมั่น ไม่ใช่เพียงส่งข้อมูลออกไป แต่ต้องเป็นการสื่อสารที่ทำให้คนเข้าใจและเชื่อว่ามีทิศทางที่ชัดเจน
3. การสร้างวัฒนธรรมแห่ง Resilience (Resilient Culture): วิกฤตไม่ใช่สิ่งที่แก้ไขได้ครั้งเดียวแล้วจบ แต่คือสิ่งที่จะกลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ ผู้นำที่แท้จริงต้องทำให้องค์กรเรียนรู้จากทุกวิกฤต เก็บข้อมูล ปรับปรุง และสร้างระบบที่แข็งแรงขึ้นเสมอ ไม่ใช่เพียงแก้ไขเหตุการณ์ แต่เปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสในการเติบโต
เมื่อพิจารณาจากกรณีศึกษา ผู้นำที่ล้มเหลวในการสื่อสาร เช่นในกรณี Cambridge Analytica–Facebook แสดงให้เห็นว่าการเงียบหรือเลี่ยงประเด็นในช่วงวิกฤตสามารถทำลายความเชื่อมั่นได้ยาวนาน ขณะที่ผู้นำองค์กรเทคโนโลยีบางแห่ง เช่น Satya Nadella แห่ง Microsoft ใช้การสื่อสารเชิงเปิดเผยและยอมรับความผิดพลาด ร่วมกับการลงทุนเชิงโครงสร้างเพื่อแก้ไขปัญหา ทำให้สามารถฟื้นศรัธาและสร้างภาพลักษณ์ใหม่ได้
✨นี่คือบทเรียนที่ทำให้องค์กรไม่เพียงรอดจากวิกฤต แต่ยังเติบโตอย่างยั่งยืน