ไม่ใช่แค่พูดให้ฟัง แต่ต้อง
“ทิ้งร่องรอยความรู้” ไว้ในเอกสารให้คนกลับมาใช้ซ้ำ
ในการเป็นวิทยากร เราไม่ได้ถ่ายทอดความรู้แค่ผ่านคำพูด แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เรียนถือกลับไปด้วยเสมอ นั่นคือ “เอกสารอบรม” สื่อเงียบที่คงอยู่แม้เสียงเราจะจบลงไปแล้ว
การวางแผนเอกสารอบรมอย่างเหมาะสม ไม่ได้เป็นเพียงขั้นตอนประกอบ แต่คือหัวใจของการออกแบบประสบการณ์เรียนรู้ เอกสารเหล่านี้ไม่ได้มีรูปแบบเดียว หากแต่มาจากต้นทางความรู้ที่หลากหลาย บางครั้งมาจากตำราวิชาการ บางครั้งมาจากการถอดบทเรียนในชีวิตจริง และเมื่อเราเข้าใจแหล่งที่มา เราจะรู้ว่าจะ “จัดการ” กับมันอย่างไรให้เกิดคุณค่าสูงสุด
หากเนื้อหามาจากหนังสือตำรา เช่น FIDIC, Agile หรือมาตรฐานต่าง ๆ สิ่งสำคัญไม่ใช่การคัดลอกข้อความมาแสดง แต่คือต้องกลั่นมันออกมาในรูปแบบที่คนฟังเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง เริ่มต้นที่ Slide เพื่อจัดลำดับความคิด สร้างภาพรวมให้นำเสนอได้กระชับ จากนั้นจึงขยายเนื้อหาบางส่วนออกมาเป็น Booklet สำหรับแจกผู้เรียนไว้ทบทวนและทำกิจกรรมร่วมกันในห้อง และท้ายสุด อ้างอิงกลับไปที่ Book ต้นทาง หากผู้เรียนต้องการศึกษาต่อเชิงลึก
หากเนื้อหามาจากการถอดองค์ความรู้ (KM) เช่น ประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานจริง หรือบทเรียนจากโครงการ การเริ่มต้นด้วย Booklet จะช่วยเปลี่ยนเรื่องเล่ากระจัดกระจายให้กลายเป็น “องค์ความรู้ที่จับต้องได้” จากนั้นจึงค่อยทำ Slide เพื่อใช้ในห้องอบรม ให้ภาพและคำถามกระตุ้นการคิด การแลกเปลี่ยน ถ้าความรู้เหล่านั้นผ่านการตกผลึกมากพอ วิทยากรอาจต่อยอดไปสู่ KM Book ซึ่งเป็นคลังความรู้ประจำองค์กรหรือคู่มืออ้างอิงระยะยาว
อีกหนึ่งทางเลือกที่ทรงพลังคือ Case Book สำหรับวิทยากรที่ต้องการสร้างการเรียนรู้เชิงวิพากษ์ ผ่านสถานการณ์จริงที่มีความซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จหรือความล้มเหลว Case Book ไม่ได้บอกว่าต้องทำอย่างไร แต่ตั้งคำถามให้ผู้เรียนได้คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจด้วยตนเอง
- Slide คือเครื่องมือสื่อสาร
- Booklet คือสะพานของความเข้าใจ
- Book คือคลังความรู้
- Case Book และ KM Book คือชีวิตขององค์ความรู้ที่เดินทางจากประสบการณ์จริง
แต่ยังคงคุณค่าต่อไปหลังจากวันอบรมจบลง
เอกสารอบรม: สื่อเงียบที่ส่งพลังได้มากกว่าแค่คำพูด
การวางแผนเอกสารอบรมอย่างเหมาะสม ไม่ได้เป็นเพียงขั้นตอนประกอบ แต่คือหัวใจของการออกแบบประสบการณ์เรียนรู้ เอกสารเหล่านี้ไม่ได้มีรูปแบบเดียว หากแต่มาจากต้นทางความรู้ที่หลากหลาย บางครั้งมาจากตำราวิชาการ บางครั้งมาจากการถอดบทเรียนในชีวิตจริง และเมื่อเราเข้าใจแหล่งที่มา เราจะรู้ว่าจะ “จัดการ” กับมันอย่างไรให้เกิดคุณค่าสูงสุด
หากเนื้อหามาจากหนังสือตำรา (เช่น FIDIC, Agile)
สิ่งสำคัญไม่ใช่การคัดลอกข้อความมาแสดง แต่คือต้องกลั่นมันออกมาในรูปแบบที่คนฟังเข้าใจง่ายและนำไปใช้ได้จริง เริ่มต้นที่ Slide เพื่อจัดลำดับความคิด สร้างภาพรวมให้นำเสนอได้กระชับ จากนั้นจึงขยายเนื้อหาบางส่วนออกมาเป็น Booklet สำหรับแจกผู้เรียนไว้ทบทวนและทำกิจกรรมร่วมกันในห้อง และท้ายสุด อ้างอิงกลับไปที่ Book ต้นทาง หากผู้เรียนต้องการศึกษาต่อเชิงลึก
หากเนื้อหามาจากการถอดองค์ความรู้ (KM)
เช่น ประสบการณ์ของผู้ปฏิบัติงานจริง หรือบทเรียนจากโครงการ การเริ่มต้นด้วย Booklet จะช่วยเปลี่ยนเรื่องเล่ากระจัดกระจายให้กลายเป็น “องค์ความรู้ที่จับต้องได้” จากนั้นจึงค่อยทำ Slide เพื่อใช้ในห้องอบรม ให้ภาพและคำถามกระตุ้นการคิด การแลกเปลี่ยน ถ้าความรู้เหล่านั้นผ่านการตกผลึกมากพอ วิทยากรอาจต่อยอดไปสู่ KM Book ซึ่งเป็นคลังความรู้ประจำองค์กรหรือคู่มืออ้างอิงระยะยาว
Case Book
สำหรับสร้างการเรียนรู้เชิงวิพากษ์ ผ่านสถานการณ์จริง ไม่ได้บอกว่าต้องทำอย่างไร แต่ตั้งคำถามให้ผู้เรียนได้คิด วิเคราะห์ และตัดสินใจด้วยตนเอง
KM Book
เน้นสรุป “สิ่งที่ได้ผล” พร้อมแนวทางปฏิบัติ สองสิ่งนี้อาจใช้ร่วมกันได้ในการออกแบบหลักสูตรที่ต้องการทั้งความเข้าใจและการลงมือทำ
จังหวะการใช้เอกสารให้เกิดประโยชน์สูงสุด
➡️ก่อนอบรม: ใช้ Booklet เพื่อปูพื้นฐานความเข้าใจ
➡️ระหว่างอบรม: ใช้ Slide เป็นเครื่องมือหลักในการถ่ายทอดและจุดประกายการเรียนรู้
➡️หลังอบรม: แนะนำให้ผู้เรียนศึกษาต่อผ่าน Book หรือ KM Book เพื่อสั่งสมความรู้ให้ลึกขึ้น
Slide คือเครื่องมือสื่อสาร
Booklet คือสะพานของความเข้าใจ
Book คือคลังความรู้
Case Book และ KM Book คือชีวิตขององค์ความรู้ที่เดินทางจากประสบการณ์จริง
