ทำไม Gen Z ถึงเปลี่ยนงานบ่อย? แล้วมันช่วยให้เติบโตได้จริงหรือ?

ทำไม Gen Z ถึงเปลี่ยนงานบ่อย? แล้วมันช่วยให้เติบโตได้จริงหรือ?

หาก “Ego” คือ กำแพง ความสัมพันธ์ใหม่ก็คือ ดอกไม้ที่ต้องการช่องว่างเล็กๆ เพื่อเริ่มงอกงาม

มิตรภาพไม่ใช่สนามแข่ง เพราะไม่ได้ต้องการเอาชนะ แต่ต้องการได้หรือเลือกคนที่จริงใจ  ดังนั้น ถ้าเรากล้าวางความต้องการเป็นจุดศูนย์กลาง เราก็จะได้พบความสัมพันธ์ที่มีความหมายยิ่งกว่าคำพูดเป็นล้านๆ คำ แน่นอนค่ะ!  ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนล้วนมี “Ego” หรือ “อัตตา” ในตัวตนด้วยกันทั้งนั้น เป็นเพราะเราต้องการที่จะปกป้องความรู้สึกของตัวเอง ต้องการเป็นที่ยอมรับหรืออยากให้คนอื่นมองว่าเรามีคุณค่า แต่ถ้าหาก “Ego” มีมากเกินไป ก็อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการสร้างมิตรภาพใหม่ๆ หรือความสัมพันธ์ที่ดีได้ ลองมาดู “Ego” ในบริบทของความสัมพันธ์กันนะ!

  • Ego ในทางบวก เป็นความมั่นใจในตัวเอง รู้คุณค่าของตน กล้าแสดงออก แสดงความคิดเห็นอย่างเคารพผู้อื่น
  • Ego ในทางลบ เป็นการยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตนเอง ว่าถูกต้องเสมอ ดื้อรั้น ไม่ฟังผู้อื่น ต้องการควบคุมหรืออยู่เหนือคนอื่น

คนที่มี Ego ในทางบวก จะมีวิธีบริหารเพื่อสร้างมิตรภาพใหม่ให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีได้เมื่อแรกพบอย่างง่ายๆ เช่น ฝึกการฟังอย่างตั้งใจ  (Active Listening) อย่ารีบตัดสิน ให้เปิดใจฟังกับความรู้สึกที่อาจแตกต่าง  ต้องกล้ายอมรับความผิดพลาด เมื่อมีสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเพราะมันเป็นเครื่องมือหนึ่งในการแสดงความเป็นมนุษย์ธรรมดา  ที่กล้าขอโทษ  ต้องฝึกการสื่อสารด้วยท่าทีที่ถ่อมตน อาจใช้คำพูดที่นุ่มนวล และให้เกียรติอีกฝ่าย สิ่งที่ลืมไม่ได้ ให้พึงสำรวจเป็นระยะ กับการสังเกตความรู้สึกของตัวเอง หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่ทำไปในระหว่างการสร้างมิตรภาพใหม่นั้น มาจาก “ตัวตนแท้” หรือ “อัตตา” ที่อยู่ข้างในตัวเรากันแน่!

ส่วนคนที่มี Ego ในทางลบ ย่อมกระทบต่อมิตรภาพใหม่อย่างแน่นอน นั่นเพราะการขาดการรับฟัง อาจคิดว่าความคิดของตัวเองถูกเสมอ ไม่เปิดใจฟังมุมมองของอีกฝ่าย  อีกทั้งไม่ยอมอ่อนข้อหรือขอโทษ ความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ สามารถเกิดขึ้นได้หากมี Ego สูงเกินไปจะทำให้ไม่ยอมลดตัวขอโทษหรือปรับตัว กลัวเสียหน้า บางคนไม่กล้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริง เช่น ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ ไม่กล้าพูดชม หรือไม่กล้าบอกว่าตัวเองไม่รู้ เพราะต้องการความสำคัญหรือเด่นเหนือผู้อื่น ทำให้ความสัมพันธ์เกิดความไม่เท่าเทียม จนอีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด

การมี Ego ไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากคุณอยากสร้างความสัมพันธ์ใหม่ให้ยั่งยืน ต้องพึงรู้จัก วาง Ego ลงในเวลาที่เหมาะสม และแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วย ความเคารพ การฟังอย่างตั้งใจ สบตาแลดงความจริงใจ รับรองได้ว่ามิตรภาพนั้นจะเติบโตอย่างงดงาม

“บางครั้งการวางอัตตา ไม่ได้แปลว่า “แพ้” แต่มันคือการเปิดพื้นที่ให้มิตรภาพได้เติบโตอย่างยั่งยืน”

      อัตตา (Ego) เปรียบเสมือนเกราะของความมั่นคงในใจของตนเอง หลายครั้งมักมีเสียงกระซิบข้างหูบอกว่า “ฉันต้องไม่ยอม” “ฉันต้องไม่อ่อนแอ” “ฉันต้องถูก” “อย่ายอมนะ” อัตตากลายเป็นกำแพงหนาที่เราสร้างมันขึ้นมาภายในใจโดยไม่รู้ตัว เพื่ออะไร? เพื่อป้องกันความผิดหวัง แต่มันกลายเป็นสิ่งปิดกั้นความสัมพันธ์ที่ดีลงไป

      เมื่อมิตรภาพใหม่เริ่มใกล้เข้ามา อัตตาหรือ Ego ก็เริ่มเคลื่อนไหวพร้อมที่จะทำงาน การที่เราได้เริ่มรู้จักใครสักคนที่เป็นคนใหม่ ไม่ใช่แค่การเปิดบทสนทนาเท่านั้น แต่มันคือการเปิดพื้นที่ภายในใจและยอมให้ผู้อื่นได้เดินเข้ามาเห็นตัวตนของเรา นั่นคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่แสนจะเรียบง่าย แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ อย่าให้มันหยุดลงแค่คำว่า “คนรู้จัก” ที่เหมือนการปล่อยผ่านเพียงเพราะอัตตาที่ไม่ยอมลดตัว ลง เหมือนการไม่กล้าที่จะพูดว่า “ขอโทษ” แม้จะรู้ว่าตัวเองผิด จะดูว่าเป็นความอ่อนแอ หรือแม้แต่การเงียบ เพียงเพราะกลัวว่าความไม่รู้ของตนเองจะทำให้ดูด้อยค่า

      แต่ถ้าเรากล้าที่จะวาง Ego ลงชั่วขณะหนึ่ง แล้วยอมรับความอ่อนแอหรือพ่ายแพ้ มันคือส่วนหนึ่งของมนุษย์ธรรมดา หรือกล้าที่จะพูดคำว่า “ฉันไม่รู้” “ฉันเสียใจ” วินาทีแห่งความเป็นจริงของการเริ่มต้นมิตรภาพจะเกิดขึ้นกลางใจของคนสองคนและหยั่งลึกบนรากฐานของจิตใจ มิตรภาพใหม่พร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้วออกเดินไปด้วยกันอย่างแน่นอน

อยากฝากว่า “ตัวตน” และ “อัตตา” (Ego) มาพร้อมกับมุมมองที่ลึกซึ้งถึงความสัมพันธ์ ความเชื่อ ความคิด ความรู้สึกหรือความกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจ เป็นสิ่งที่เกาะติดตัวตนมาอย่างแนบแน่น ความเปราะบางของมนุษย์ จำเป็นต้องเรียนรู้ในการจะอยู่ร่วมกันได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน

ทำไม Gen Z ถึงเปลี่ยนงานบ่อย? แล้วมันช่วยให้เติบโตได้จริงหรือ?

🚀ยุคนี้อะไร ๆ ก็เปลี่ยนเร็ว เทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน โอกาสในการทำงานก็ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในออฟฟิศอีกต่อไป แนวคิดเกี่ยวกับการทำงานเลยเปลี่ยนไปตามยุค โดยเฉพาะ Gen Z ที่โตมากับโลกดิจิทัล พวกเขาไม่ได้มองหางานที่แค่มั่นคงหรืออยู่ได้นาน ๆ แต่ต้องเป็นงานที่ มีความยืดหยุ่น ช่วยให้พัฒนาตัวเองได้ และบาลานซ์ชีวิตกับงานได้ดี

💡สำหรับ Gen Z แล้ว งานไม่ใช่แค่เรื่องของรายได้หรือสวัสดิการ แต่ต้องเป็นงานที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังเติบโต ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ และสอดคล้องกับเป้าหมายของตัวเอง ถ้างานที่ทำอยู่ไม่ตอบโจทย์ พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะเปลี่ยน เพราะสำหรับพวกเขา "งาน" ไม่ใช่จุดหมาย แต่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น บางคนอาจจะมองว่าการเปลี่ยนงานบ่อยเป็นเรื่องของความไม่มั่นคง แต่สำหรับ Gen Z แล้วมันคือโอกาสในการเติบโต ถ้าที่ไหนให้โอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาได้มากกว่า พวกเขาก็พร้อมจะก้าวไปข้างหน้าแบบไม่ลังเล

หลายคนอาจจะคิดว่าการเปลี่ยนงานบ่อยเป็นสัญญาณของความไม่มั่นคง หรือมองว่าเป็นเรื่องของความไม่อดทน แต่สำหรับ Gen Z แล้ว มันไม่ใช่แค่นั้น เพราะพวกเขามองว่านี่คือ วิธีที่ช่วยให้เติบโตได้เร็วขึ้น Gen Z ไม่ได้ทำงานแค่เพราะต้องทำ แต่พวกเขามองว่างานคือเครื่องมือที่ช่วยให้พวกเขาค้นหาสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง พัฒนาทักษะ และก้าวไปสู่เป้าหมายในชีวิต ถ้างานที่ทำอยู่ไม่มีโอกาสให้เติบโต ไม่ตอบโจทย์ หรือไม่เข้ากับไลฟ์สไตล์ พวกเขาก็พร้อมจะมองหาสิ่งที่ใช่กว่า

แต่จริง ๆ แล้ว ทำไม Gen Z ถึงเปลี่ยนงานบ่อย? แล้วมันช่วยให้พวกเขาเติบโตได้ยังไง? วันนี้ WorkVenture จะพาทุกคนไปดูมุมมองของพวกเขากัน!

Key point

  • Gen Z กับแนวคิดการเปลี่ยนงานบ่อย
  • อะไรบ้างที่ทำให้ Gen Z เลือกเปลี่ยนงานบ่อย?
  • การเปลี่ยนงานบ่อยๆ ช่วยให้ Gen Z ประสบความสำเร็จได้จริงหรือ?
  • Gen Z จะเลือกงานจากอะไร?
  • วิธีการทำงานกับกลุ่มคน Gen Z
  • คน Gen Z ต้องการการสนับสนุนจากองค์กร
Gen Z ทำงาน
Gen Z กับแนวคิดการเปลี่ยนงานบ่อย

Gen Z คือกลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี 1997-2012 ปัจจุบันอยู่ในช่วงอายุตั้งแต่ 13 - 28 ปี ซึ่งเติบโตมาในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้า การเชื่อมต่อกับโลกกว้างทำได้ง่ายดาย Gen Z ใช้ชีวิตในโลกที่อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญ ทำให้แนวคิดและพฤติกรรมต่างจากเจเนอเรชั่นก่อน โดยเฉพาะในเรื่อง การทำงาน สำหรับ Gen Z งานไม่ใช่แค่หน้าที่ที่ต้องทำเพื่อเงิน แต่ยังให้ความสำคัญกับแนวคิด Work-life balance มากกว่าการอยู่กับที่ทำงานเดิมนาน ๆ ถ้ารู้สึกว่างานไม่ตอบโจทย์หรือไม่มีโอกาสพัฒนา ก็พร้อมจะหางานใหม่ที่เข้ากับตัวเองมากกว่า

ย้อนกลับไป คนรุ่นก่อนมักให้ความสำคัญกับ ความมั่นคงในอาชีพ และชอบทำงานในองค์กรเดียวเป็นเวลานาน เพื่อสะสมประสบการณ์และไต่เต้าสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น แต่สำหรับ Gen Z แล้ว การทำงานที่เดียวตลอดชีวิตไม่ใช่เป้าหมายหลัก พวกเขามองว่าการเปลี่ยนงานคือ วิธีหนึ่งในการพัฒนาตัวเอง และสร้างเส้นทางอาชีพที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น เชื่อว่าการลองทำงานในหลายที่ช่วยให้เรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ และค้นหาสิ่งที่ใช่ที่สุดสำหรับชีวิตการทำงาน

สภาพแวดล้อมการทำงานสมัยใหม่
อะไรบ้างที่ทำให้ Gen Z เลือกเปลี่ยนงานบ่อย?

🎯 ต้องการความท้าทายใหม่ๆ

Gen Z เติบโตในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้พวกเขามักมองหาความท้าทายในการทำงานเสมอ ถ้าทำงานในที่เดิมนาน ๆ อาจทำให้รู้สึก ไม่มีแรงจูงใจ หรือ เบื่อหน่าย การเปลี่ยนงานช่วยให้ได้พบกับโครงการใหม่ ๆ และความท้าทายที่ต้องใช้ทักษะใหม่ ๆ ซึ่งทำให้สามารถพัฒนาตัวเองได้ดียิ่งขึ้น Gen Z มองว่าการทำงานที่มีความท้าทายจะทำให้พวกเขาเติบโต และไม่รู้สึกติดอยู่ในวงจรเดิม ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าหยุดพัฒนา

การทำงานในที่เดียวเป็นเวลานาน ๆ อาจทำให้รู้สึก เบื่อหน่าย และ ไม่มีแรงจูงใจ ในการทำงาน โดยเฉพาะสำหรับคนที่มองหาความท้าทายใหม่ ๆ การเปลี่ยนงานจึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะมันทำให้ได้สัมผัสกับความตื่นเต้น เมื่อได้เจอกับโครงการที่น่าสนใจ หรือปัญหาที่ต้องใช้ทักษะใหม่ ๆ จะทำให้รู้สึกกระตุ้นและมีแรงบันดาลใจในการพัฒนาตนเองมากขึ้น ดังนั้น การเปลี่ยนงานไม่ใช่แค่การหางานใหม่ แต่ยังเป็นโอกาสในการเติบโตและสร้างเส้นทางอาชีพที่น่าสนใจ!

⚖️ การหาความสมดุลของชีวิตและการทำงาน (Work-Life Balance)

การทำงานไม่ใช่แค่เรื่องของเงินเดือนเท่านั้น Gen Z หลายคนให้ความสำคัญกับ การจัดการเวลาที่ชัดเจนเพื่อให้มีเวลาทั้งงานและชีวิตส่วนตัว หรือ Work-Life Balance ถ้ารู้สึกว่างานที่ทำไม่ตรงกับความคาดหวังหรือทำแล้วรู้สึกไม่สบายใจ พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะมองหางานใหม่ที่เหมาะกับตัวเองมากกว่า Gen Z เข้าใจว่าชีวิตมีค่ามากกว่าการนั่งอยู่ในที่ทำงานที่ไม่แฮปปี้ และพร้อมที่จะค้นหาสิ่งที่ตอบโจทย์ตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของบรรยากาศการทำงาน วัฒนธรรมองค์กร หรือโอกาสในการพัฒนาตนเอง

🌍 การหาประสบการณ์ที่หลากหลาย

การเปลี่ยนงานบ่อย ๆ ทำให้ Gen Z มีโอกาสสะสมประสบการณ์จากหลากหลายองค์กรและอุตสาหกรรม นี่คือสิ่งที่ช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวได้ดีขึ้นมาก สามารถนำประสบการณ์ที่ได้มาใช้ประโยชน์ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นทักษะใหม่ ๆ หรือวิธีการทำงานที่แตกต่าง

การทำงานในหลาย ๆ ที่ยังช่วยให้ได้เห็นมุมมองที่หลากหลาย และเรียนรู้วิธีการทำงานที่แตกต่างกันไป ทำให้เข้าใจว่า การมีประสบการณ์จากหลายองค์กรจะเปิดโอกาสให้พวกเขาเติบโตและพัฒนาตัวเองได้อย่างรวดเร็ว

การเปลี่ยนงานบ่อยๆ ช่วยให้ Gen Z ประสบความสำเร็จได้จริงหรือ?

การเปลี่ยนงานบ่อย เป็นเรื่องที่หลายคนมองต่างกัน บางคนบอกว่ามันช่วยให้ได้โอกาสใหม่ ๆ ได้พัฒนาทักษะและเติบโตเร็วขึ้น แต่บางคนก็มองว่ามันอาจทำให้ขาดความมั่นคงหรือพลาดโอกาสเติบโตในระยะยาว จริง ๆ แล้ว มันไม่ได้มีคำตอบตายตัว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับมุมมองและเป้าหมายของแต่ละคน แล้วสำหรับคุณล่ะ การเปลี่ยนงานบ่อย ๆ เป็นเรื่องดีหรือเปล่า?

🌱 เปิดโอกาสให้พัฒนาทักษะใหม่

การทำงานในหลาย ๆ ที่หมายความว่า Gen Z จะได้พบกับงานที่หลากหลาย และได้เรียนรู้วิธีการทำงานจากหัวหน้าและเพื่อนร่วมงานที่แตกต่างกันไป ทำให้มี ทักษะ และ ความสามารถ ที่กว้างขึ้น ไม่ได้ติดอยู่กับแค่เรื่องเดิม ๆ ยกตัวอย่างเช่น บางที่อาจสอนให้ทำงานเป็นทีม บางที่เน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หรือบางที่อาจให้โอกาสในการฝึก ภาวะผู้นำ การเรียนรู้แบบนี้จะทำให้มีความสามารถรอบด้านมากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความได้เปรียบในตลาดงานได้อย่างเห็นได้ชัด ด้วยการสะสมประสบการณ์ที่หลากหลาย Gen Z จะสามารถสร้างเส้นทางอาชีพที่น่าสนใจและมั่นคงในอนาคตได้!

📈 เพิ่มโอกาสในการเติบโต

ในบางบริษัท การเลื่อนตำแหน่งอาจใช้เวลาหลายปี หรือบางครั้งอาจไม่มีตำแหน่งว่างให้เติบโตเลย ทำให้คนที่อยากพัฒนาตัวเองต้องรอนานเกินไป การเปลี่ยนงานจึงเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับ Gen Z เพราะสามารถหางานที่ให้เงินเดือนสูง หรือมีโอกาสรับผิดชอบงานที่ใหญ่ขึ้นได้ โดยไม่ต้องรอให้ตำแหน่งว่าง การเปลี่ยนงานยังช่วยเปิดโอกาสให้ได้ลองทำงานในอุตสาหกรรมหรือบทบาทใหม่ ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ช่วยให้เติบโตมากกว่าการอยู่ที่เดิม ถ้าทำงานที่เดียวไปนาน ๆ ทักษะก็อาจจะอยู่ในกรอบเดิม แต่ถ้าได้เปลี่ยนไปสู่สภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ก็จะได้เรียนรู้วิธีการทำงานที่แตกต่าง พัฒนาทักษะใหม่ และค้นพบเส้นทางอาชีพที่เหมาะกับตัวเองมากขึ้น

🔎 รู้จักตัวเองมากขึ้น

การลองทำงานหลายที่และหลายบทบาททำให้ Gen Z ได้เรียนรู้ว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบอะไร บางคนอาจคิดว่าตัวเองชอบงานด้านการตลาด แต่พอได้ลองทำแล้วกลับพบว่าชอบการวิเคราะห์ข้อมูลมากกว่า หรือบางคนอาจค้นพบว่าตนไม่เหมาะกับงานออฟฟิศและต้องการเป็นฟรีแลนซ์แทน

การที่ได้ลองงานหลายแบบก่อนจะตัดสินใจจริงจังนั้นช่วยให้สามารถเลือกเส้นทางที่เหมาะสมในระยะยาวได้ พูดง่าย ๆ ว่า การเปลี่ยนงานบ่อย ๆ ไม่ได้แปลว่าขาดความมั่นคงเสมอไป แต่ถ้าทำอย่างมีเป้าหมาย มันจะเป็นทางลัดที่ช่วยให้พวกเขาพัฒนาตัวเองและประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว

Gen Z จะเลือกงานจากอะไร?

ทุกวันนี้ การเลือกงานสำหรับ Gen Z ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินเดือนอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ต้องมีอะไรมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรมองค์กรที่เปิดกว้าง ความยืดหยุ่นในการทำงาน หรือโอกาสในการเติบโตที่ชัดเจน พวกเขามองหางานที่ให้มากกว่าผลตอบแทนรายเดือน แต่งานที่ทำให้รู้สึกมีคุณค่า สนุกกับการทำงาน และตอบโจทย์ชีวิตทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ถ้าที่ทำงานให้อิสระ ให้พื้นที่ในการพัฒนา และมีสภาพแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกสบายใจ ยังไงก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับ Gen Z แน่นอน แล้วอะไรคือปัจจัยที่พวกเขาใช้ตัดสินใจเวลาหางาน? มาดูกัน

74%

เงินเดือน (Salary)

จากผลสำรวจพบว่า 74% ของ Gen Z ให้ความสำคัญกับเงินเดือนเป็นอันดับต้น ๆ ในการเลือกงาน...

52%

โอกาสเติบโตในอาชีพ(Career Growth)

เป็นสิ่งสำคัญสำหรับ Gen Z - 52% มองหางานที่ไม่ใช่แค่ทำไปวัน ๆ...

41%

ความมั่นคงในงาน (Job Security)

41% ของคน Gen Z มองว่าความมั่นคงในงานคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกงาน...

37%

สวัสดิการ (Benefits)

สำหรับ 37% สวัสดิการที่จำเป็น เช่น การดูแลสุขภาพ การเกษียณอายุ และโอกาสในการฝึกอบรม ถือเป็นปัจจัยสำคัญ...

34%

ชั่วโมงทำงานยืดหยุ่น (Flexible Working Hours)

34% ของ Gen Z ให้ความสำคัญกับ Work-Life Balance ความยืดหยุ่นในชั่วโมงทำงาน...

18%

วัฒนธรรมองค์กรและผู้คน (Culture & People)

18% ของ Gen Z ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรและความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน... ซึ่ง WorkVenture เข้าใจดีว่าการมีวัฒนธรรมองค์กรที่ดีมันสำคัญแค่ไหน พวกเราเลยได้ทำแบบสำรวจเพื่อรองรับมาตรฐาน BPTW (Best Places to Work in Thailand) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรได้รู้ความต้องการที่แท้จริงของพนักงานทุกคน...

16%

ชื่อเสียงของนายจ้าง (Employer’s Reputation)

16% ของ Gen Z ให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของนายจ้างในอุตสาหกรรมเวลาหางาน...

15%

องค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม (Socially Responsible Organisation)

15% ให้ความสำคัญกับการเลือกองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมเวลาเลือกงานนะ!...

14%

ทำงานจากที่ไหนก็ได้ การทำงานทางไกล (Remote Work Options)

อันนี้น่าสนใจนะ 14% เลือกที่จะให้ความสำคัญกับการทำงานทางไกล อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ขนาดนั้น...

คน Gen Z ให้ความสำคัญกับ "เงินเดือน" เป็นอันดับแรกในการเลือกงาน รองลงมาคือ "โอกาสเติบโตในสายอาชีพ" และ "ความมั่นคงในงาน" ซึ่งบอกได้เลยว่าพวกเขามองหาไม่แค่ค่าตอบแทนที่ดี แต่ยังต้องการเห็นอนาคตในสายงานของตัวเองด้วย และต้องการรู้สึกมั่นคงในอาชีพที่เลือก ทำให้การเลือกงานเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาหลายด้านเลยทีเดียว

การทำงานร่วมกับ Gen Z
วิธีการทำงานกับกลุ่มคน Gen Z
  • 💬สร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้าง: การสร้างสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างสำหรับ Gen Z เป็นสิ่งสำคัญ เพราะ Gen Z ชอบการสื่อสารที่ตรงไปตรงมา สามารถแสดงความคิดเห็นและนำเสนอไอเดียได้อย่างอิสระ...
  • การทำงานมีความยืดหยุ่น: การมีความยืดหยุ่นทำให้สามารถจัดการชีวิตส่วนตัวและการทำงานได้อย่างสมดุล ช่วยให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ...
  • 📚สนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนา: Gen Z ต้องการโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ การมอบการฝึกอบรมและการสนับสนุนในด้านการพัฒนาอาชีพจะช่วยให้พวกเขารู้สึกว่ากำลังเติบโต...
  • 🤝เน้นการทำงานเป็นทีม: สำหรับ Gen Z การทำงานร่วมกันในทีมเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะ Gen Z เชื่อว่าการทำงานเป็นทีมจะช่วยสร้างบรรยากาศที่ดี...
  • ❤️เชื่อมโยงงานกับความหมาย: สำหรับ Gen Z งานที่มีความหมายและสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคมเป็นสิ่งสำคัญ...
  • 👍ให้คำชมและข้อเสนอแนะแบบทันที: เป็นวิธีที่ดีในการกระตุ้นให้ Gen Z รู้สึกมีคุณค่า เมื่อได้รับคำชม จะทำให้เข้าใจว่าทำได้ดีในสิ่งที่ทำอยู่...
  • 💻ใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์: เนื่องจาก Gen Z เติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยี การใช้เครื่องมือและแอพพลิเคชันที่ช่วยในการทำงานจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก...
สิ่งที่คน Gen Z ต้องการการสนับสนุนจากองค์กร
68%

ลงทุนในการพัฒนาความสามารถ (Financial Support to Upskill)

43%

โอกาสในการทำงานในประเทศอื่น (Opportunities to Work in Different Countries)

40%

การลาศึกษาต่อ (Study Leave)

40%

โอกาสในการทำโปรเจกต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานประจำ

31%

นโยบายความหลากหลายทางเพศและชาติพันธุ์

27%

การลาพักงานระยะยาว (Sabbaticals)

27%

โอกาสอาสาสมัครเพื่อช่วยเหลือสังคมและสิ่งแวดล้อม

20%

สิทธิ์ลาคลอดบุตรแบบขยายเวลา (Extended Maternity Leave)

การเปลี่ยนงานบ่อย ๆ ของ Gen Z ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันเป็นทางเลือกในการเติบโตในโลกทำงานที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกครั้งที่พวกเขาเปลี่ยนงาน พวกเขาไม่เพียงแค่หาความท้าทายใหม่ ๆ แต่ยังเป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอีกด้วยการเลือกงานไม่ใช่แค่การทำงานไปวัน ๆ แต่คือการหางานที่ตรงกับความสนใจและค่านิยมของตัวเอง พวกเขามองหางานที่มีวัฒนธรรมดี ๆ ความยืดหยุ่น และโอกาสในการเติบโต ซึ่งทำให้การเปลี่ยนงานบ่อย ๆ กลายเป็นการลงทุนในอนาคตและความสำเร็จของตัวเอง

WorkVenture เรารวบรวมมาแล้วว่านี่คือสิ่งที่คนทำงานยุคนี้ให้ความสำคัญ หวังว่ามันจะช่วยให้คุณเห็นภาพเรื่องการเลือกงานชัดขึ้นนะ! จริง ๆ แล้วไม่มีใครอยากเปลี่ยนงานบ่อยหรอก แต่บางทีเราแค่ยังไม่เจอที่ที่คลิกกับเราเท่านั้นเอง

ไม่ว่าคุณจะเป็นคน Gen ไหน ถ้าคุณกำลังมองหางานอยู่ ลองเช็กโปรไฟล์บริษัทที่สนใจก่อน จะได้เข้าใจว่าสไตล์องค์กรเป็นยังไง ตรงกับสิ่งที่คุณมองหามั้ย เจองานที่ใช่ ชีวิตการทำงานก็แฮปปี้ขึ้นเยอะ!

บทความจาก WorkVenture ผู้นำในด้านการสร้าง Employer Branding และ Engagement Survey

เกี่ยวกับผู้เขียน

ดร.ณัฐหทัย บรรจงจิตร

Languages: TH

Ready to join our knowledge castle?

Find the right program for your organization and achieve your goals today

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save