หาก “Ego” คือ กำแพง ความสัมพันธ์ใหม่ก็คือ ดอกไม้ที่ต้องการช่องว่างเล็กๆ เพื่อเริ่มงอกงาม
มิตรภาพไม่ใช่สนามแข่ง เพราะไม่ได้ต้องการเอาชนะ แต่ต้องการได้หรือเลือกคนที่จริงใจ ดังนั้น ถ้าเรากล้าวางความต้องการเป็นจุดศูนย์กลาง เราก็จะได้พบความสัมพันธ์ที่มีความหมายยิ่งกว่าคำพูดเป็นล้านๆ คำ แน่นอนค่ะ! ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนล้วนมี “Ego” หรือ “อัตตา” ในตัวตนด้วยกันทั้งนั้น เป็นเพราะเราต้องการที่จะปกป้องความรู้สึกของตัวเอง ต้องการเป็นที่ยอมรับหรืออยากให้คนอื่นมองว่าเรามีคุณค่า แต่ถ้าหาก “Ego” มีมากเกินไป ก็อาจกลายเป็นอุปสรรคต่อการสร้างมิตรภาพใหม่ๆ หรือความสัมพันธ์ที่ดีได้ ลองมาดู “Ego” ในบริบทของความสัมพันธ์กันนะ!
- Ego ในทางบวก เป็นความมั่นใจในตัวเอง รู้คุณค่าของตน กล้าแสดงออก แสดงความคิดเห็นอย่างเคารพผู้อื่น
- Ego ในทางลบ เป็นการยึดมั่นถือมั่นในความคิดของตนเอง ว่าถูกต้องเสมอ ดื้อรั้น ไม่ฟังผู้อื่น ต้องการควบคุมหรืออยู่เหนือคนอื่น
คนที่มี Ego ในทางบวก จะมีวิธีบริหารเพื่อสร้างมิตรภาพใหม่ให้เกิดความสัมพันธ์ที่ดีได้เมื่อแรกพบอย่างง่ายๆ เช่น ฝึกการฟังอย่างตั้งใจ (Active Listening) อย่ารีบตัดสิน ให้เปิดใจฟังกับความรู้สึกที่อาจแตกต่าง ต้องกล้ายอมรับความผิดพลาด เมื่อมีสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเพราะมันเป็นเครื่องมือหนึ่งในการแสดงความเป็นมนุษย์ธรรมดา ที่กล้าขอโทษ ต้องฝึกการสื่อสารด้วยท่าทีที่ถ่อมตน อาจใช้คำพูดที่นุ่มนวล และให้เกียรติอีกฝ่าย สิ่งที่ลืมไม่ได้ ให้พึงสำรวจเป็นระยะ กับการสังเกตความรู้สึกของตัวเอง หรือพฤติกรรมต่างๆ ที่ทำไปในระหว่างการสร้างมิตรภาพใหม่นั้น มาจาก “ตัวตนแท้” หรือ “อัตตา” ที่อยู่ข้างในตัวเรากันแน่!
ส่วนคนที่มี Ego ในทางลบ ย่อมกระทบต่อมิตรภาพใหม่อย่างแน่นอน นั่นเพราะการขาดการรับฟัง อาจคิดว่าความคิดของตัวเองถูกเสมอ ไม่เปิดใจฟังมุมมองของอีกฝ่าย อีกทั้งไม่ยอมอ่อนข้อหรือขอโทษ ความเข้าใจผิดเล็กๆ น้อยๆ สามารถเกิดขึ้นได้หากมี Ego สูงเกินไปจะทำให้ไม่ยอมลดตัวขอโทษหรือปรับตัว กลัวเสียหน้า บางคนไม่กล้าแสดงความรู้สึกที่แท้จริง เช่น ไม่กล้าขอความช่วยเหลือ ไม่กล้าพูดชม หรือไม่กล้าบอกว่าตัวเองไม่รู้ เพราะต้องการความสำคัญหรือเด่นเหนือผู้อื่น ทำให้ความสัมพันธ์เกิดความไม่เท่าเทียม จนอีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด
การมี Ego ไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากคุณอยากสร้างความสัมพันธ์ใหม่ให้ยั่งยืน ต้องพึงรู้จัก วาง Ego ลงในเวลาที่เหมาะสม และแทนที่สิ่งเหล่านั้นด้วย ความเคารพ การฟังอย่างตั้งใจ สบตาแลดงความจริงใจ รับรองได้ว่ามิตรภาพนั้นจะเติบโตอย่างงดงาม
“บางครั้งการวางอัตตา ไม่ได้แปลว่า “แพ้” แต่มันคือการเปิดพื้นที่ให้มิตรภาพได้เติบโตอย่างยั่งยืน”
อัตตา (Ego) เปรียบเสมือนเกราะของความมั่นคงในใจของตนเอง หลายครั้งมักมีเสียงกระซิบข้างหูบอกว่า “ฉันต้องไม่ยอม” “ฉันต้องไม่อ่อนแอ” “ฉันต้องถูก” “อย่ายอมนะ” อัตตากลายเป็นกำแพงหนาที่เราสร้างมันขึ้นมาภายในใจโดยไม่รู้ตัว เพื่ออะไร? เพื่อป้องกันความผิดหวัง แต่มันกลายเป็นสิ่งปิดกั้นความสัมพันธ์ที่ดีลงไป
เมื่อมิตรภาพใหม่เริ่มใกล้เข้ามา อัตตาหรือ Ego ก็เริ่มเคลื่อนไหวพร้อมที่จะทำงาน การที่เราได้เริ่มรู้จักใครสักคนที่เป็นคนใหม่ ไม่ใช่แค่การเปิดบทสนทนาเท่านั้น แต่มันคือการเปิดพื้นที่ภายในใจและยอมให้ผู้อื่นได้เดินเข้ามาเห็นตัวตนของเรา นั่นคือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพที่แสนจะเรียบง่าย แต่สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือ อย่าให้มันหยุดลงแค่คำว่า “คนรู้จัก” ที่เหมือนการปล่อยผ่านเพียงเพราะอัตตาที่ไม่ยอมลดตัว ลง เหมือนการไม่กล้าที่จะพูดว่า “ขอโทษ” แม้จะรู้ว่าตัวเองผิด จะดูว่าเป็นความอ่อนแอ หรือแม้แต่การเงียบ เพียงเพราะกลัวว่าความไม่รู้ของตนเองจะทำให้ดูด้อยค่า
แต่ถ้าเรากล้าที่จะวาง Ego ลงชั่วขณะหนึ่ง แล้วยอมรับความอ่อนแอหรือพ่ายแพ้ มันคือส่วนหนึ่งของมนุษย์ธรรมดา หรือกล้าที่จะพูดคำว่า “ฉันไม่รู้” “ฉันเสียใจ” วินาทีแห่งความเป็นจริงของการเริ่มต้นมิตรภาพจะเกิดขึ้นกลางใจของคนสองคนและหยั่งลึกบนรากฐานของจิตใจ มิตรภาพใหม่พร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้วออกเดินไปด้วยกันอย่างแน่นอน
อยากฝากว่า “ตัวตน” และ “อัตตา” (Ego) มาพร้อมกับมุมมองที่ลึกซึ้งถึงความสัมพันธ์ ความเชื่อ ความคิด ความรู้สึกหรือความกลัวที่ซ่อนลึกอยู่ภายในใจ เป็นสิ่งที่เกาะติดตัวตนมาอย่างแนบแน่น ความเปราะบางของมนุษย์ จำเป็นต้องเรียนรู้ในการจะอยู่ร่วมกันได้อย่างแท้จริงและยั่งยืน
จะบริหารทีมอย่างไร เมื่อเราไม่ใช่คนที่เก่งที่สุดในห้อง?
🤔การเป็น Project Manager (PM) ในทีมที่สมาชิกมีความรู้ ความสามารถเฉพาะทางสูงกว่าตนเอง เป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้จริง โดยเฉพาะในโครงการที่มีความซับซ้อนทางเทคนิค เช่น IT, วิศวกรรม, วิจัยพัฒนา หรือแม้กระทั่งการเปลี่ยนผ่านองค์กร (transformation)
PM อาจไม่ได้มีความเชี่ยวชาญลึกในทุกด้าน ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด แต่หากขาดการบริหารจัดการอย่างเหมาะสม อาจนำไปสู่ปัญหา เช่น ลูกทีมไม่ให้เครดิต สิ่งที่ PM เสนอหรือสั่งไม่ถูกยอมรับ และสุดท้ายคือบรรยากาศที่ตึงเครียด จนทีมหมดกำลังใจ
💡แล้วเราควรทำอย่างไรเมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้?
ยอมรับความจริงอย่างไม่อาย
การยอมรับว่าเราไม่เก่งที่สุดในห้องประชุม ไม่ได้ทำให้เราดูแย่ ในทางกลับกัน มันคือจุดเริ่มต้นของความน่าเชื่อถือ การแกล้งทำเป็นรู้ทุกเรื่อง มักนำไปสู่คำสั่งที่ผิดพลาด และบั่นทอนศรัทธาจากทีมอย่างรวดเร็ว ดังนั้นหากเราไม่ถนัดเรื่องเทคนิคบางด้าน ควรเปิดใจ เช่น “เรื่องนี้ผมไม่ถนัดเท่าไร คุณช่วยเสนอแนวทางได้ไหม?” การแสดงความเคารพในความรู้ของลูกทีมคือกุญแจสำคัญในการสร้างความร่วมมือ
เปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้สั่ง” เป็น “ผู้เชื่อม”
ในเมื่อ PM ไม่ใช่ technical expert หน้าที่หลักจึงไม่ใช่การบอกวิธีทำงาน แต่คือการสร้างสภาพแวดล้อมให้ทีมทำงานได้เต็มศักยภาพ หน้าที่ของ PM คือจัดลำดับความสำคัญ ประสานงานกับ stakeholders กำหนดกรอบเวลา งบประมาณ เป้าหมาย และขจัดอุปสรรคที่ขัดขวางทีม เช่น การบริหารความเสี่ยง ความขัดแย้ง หรือทรัพยากรไม่เพียงพอ
ฟังให้มากขึ้น สั่งให้น้อยลง
PM บางคนคิดว่า ถ้าไม่ออกคำสั่ง ก็จะดูไม่มีบทบาท ทั้งที่จริงแล้ว “การฟัง” เป็นทักษะที่ทรงพลังที่สุดในการบริหารทีมเก่ง การตั้งคำถามปลายเปิด เช่น “ถ้าเราทำแบบนี้ คุณเห็นประเด็นเสี่ยงอะไรไหม?” หรือ “มีอะไรที่เราละเลยไปหรือเปล่า?” ช่วยให้ทีมรู้สึกว่าความเห็นของเขามีความหมาย และเปิดโอกาสให้เกิดการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกัน
สร้างความไว้วางใจด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ตำแหน่ง
ในทีมที่ PM ดูอ่อนกว่าในสายตาลูกทีม ความไว้วางใจจะไม่เกิดจากตำแหน่งหรืออำนาจสั่งการ แต่จะเกิดจากความจริงใจ ความสม่ำเสมอ และความสามารถในการสนับสนุนทีมอย่างแท้จริง หากทีมเห็นว่า PM ไม่ทอดทิ้งเวลาเกิดปัญหา กล้ารับผิดเวลาเกิดข้อผิดพลาด และให้เครดิตลูกทีมเมื่อสำเร็จ ความไว้วางใจจะค่อย ๆ สะสมขึ้น
แสดงบทบาทผู้นำผ่าน “กระบวนการ” ไม่ใช่ “เนื้อหา”
แม้ PM จะไม่ใช่คนที่รู้ลึกที่สุดในเรื่องนั้น ๆ แต่สามารถเป็นคนที่เข้าใจภาพรวมดีที่สุด และมองเห็นสิ่งที่ทีมอาจมองไม่ครบ เช่น การเชื่อมโยงระหว่างฝ่าย, ข้อจำกัดด้านงบประมาณ, การสื่อสารกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ฯลฯ การมีทักษะในการกำหนดลำดับขั้นตอน ประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ และสื่อสารชัดเจน คือวิธีแสดงภาวะผู้นำโดยไม่ต้องรู้ลึกในทุกเรื่อง
✨หาก PM ยอมรับบทบาทของตนอย่างเหมาะสม ใช้ความถ่อมตนเป็นพลัง ฟังมากขึ้น และเป็นผู้ประสานงานที่ไว้วางใจได้ ความสำเร็จของโครงการจะเกิดขึ้นได้ แม้ PM จะไม่ใช่ “คนที่เก่งที่สุดในห้อง” ก็ตาม
หลักสูตรที่เกี่ยวข้อง
Effective Project Management
30-31 ต.ค. 2568 (รุ่นที่ 2)
- 2 days
- KCT Academy Team
- M Level/D Level/C Level
Effective Project Management
28-29 ส.ค. 2568 (รุ่นที่ 1)
- 2 days
- KCT Academy Team
- M Level/D Level/C Level
การพัฒนาทักษะหัวหน้างาน
ยุคใหม่
15 ส.ค. 2568 (รุ่นที่ 2)
- 1 days
- KCT Academy Team
- M Level/D Level/C Level
