เริ่มต้นปีใหม่นี้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของคุณ! หากคุณรู้สึกว่าเวลาในแต่ละวันหมดไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้ทำอะไรสำเร็จ เทคนิค Time Blocking อาจเป็นคำตอบที่คุณกำลังมองหา วิธีการจัดการเวลาแบบนี้ช่วยให้คุณควบคุมตารางชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งวันของคุณออกเป็นช่วงเวลาที่กำหนดไว้สำหรับงานเฉพาะ มาเรียนรู้วิธีใช้ Time Blocking เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดความเครียดในการทำงานกันเถอะ!
1. Time Blocking คืออะไร และทำไมถึงสำคัญ
Time Blocking เป็นเทคนิคการบริหารเวลาที่ช่วยให้คุณจัดสรรช่วงเวลาเฉพาะสำหรับงานหรือกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน แทนที่จะทำงานแบบไร้ทิศทางหรือตามอารมณ์ คุณจะวางแผนล่วงหน้าว่าจะใช้เวลาทำอะไรบ้างในแต่ละช่วงของวัน
ความสำคัญของ Time Blocking:
- เพิ่มสมาธิ: ช่วยให้คุณโฟกัสกับงานหนึ่งๆ โดยไม่วอกแวก
- ลดการผัดวันประกันพรุ่ง: เมื่อมีเวลากำหนดชัดเจน คุณจะรู้สึกมีแรงจูงใจในการทำงานให้เสร็จ
- จัดลำดับความสำคัญ: ช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของงานและจัดการกับสิ่งสำคัญก่อน
- ลดความเครียด: เมื่อรู้ว่าทุกอย่างมีเวลาของมัน คุณจะรู้สึกควบคุมชีวิตได้มากขึ้น
นักธุรกิจและผู้นำที่ประสบความสำเร็จหลายคน เช่น อีลอน มัสก์ และ บิล เกตส์ ต่างก็ใช้เทคนิค Time Blocking ในการบริหารเวลาของพวกเขา
ตัวอย่างการใช้ Time Blocking:
เวลา | กิจกรรม |
---|---|
08:00 - 09:00 | ออกกำลังกายและเตรียมตัว |
09:00 - 11:00 | ทำงานโปรเจกต์สำคัญ |
11:00 - 12:00 | ตอบอีเมลและโทรศัพท์ |
12:00 - 13:00 | พักกลางวัน |
13:00 - 15:00 | ประชุมทีม |
15:00 - 17:00 | ทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ |
การใช้ Time Blocking อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้คุณเห็นว่าคุณใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง และช่วยให้คุณปรับปรุงการจัดการเวลาของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. วิธีเริ่มต้นใช้ Time Blocking อย่างมีประสิทธิภาพ
การเริ่มต้นใช้ Time Blocking อาจดูเหมือนท้าทาย แต่ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ต่อไปนี้ คุณจะสามารถนำไปปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
ขั้นตอนที่ 1: สำรวจกิจวัตรประจำวันของคุณ
ก่อนจะเริ่มวางแผน ให้จดบันทึกกิจกรรมที่คุณทำในแต่ละวันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นภาพรวมการใช้เวลาของคุณ
ขั้นตอนที่ 2: จัดลำดับความสำคัญของงาน
แบ่งงานออกเป็นหมวดหมู่ตามความสำคัญและความเร่งด่วน ใช้เทคนิคเช่น Eisenhower Matrix เพื่อช่วยในการจัดลำดับ
ขั้นตอนที่ 3: กำหนดช่วงเวลาทำงาน
เริ่มจากการกำหนดช่วงเวลาสำหรับงานที่สำคัญที่สุดก่อน โดยจัดสรรเวลาให้เหมาะสมกับความซับซ้อนของงาน
ขั้นตอนที่ 4: สร้างตารางเวลา
ใช้ปฏิทินหรือแอปพลิเคชันจัดการเวลาเพื่อสร้างตารางเวลาที่ชัดเจน ระบุช่วงเวลาสำหรับแต่ละกิจกรรม
ขั้นตอนที่ 5: เผื่อเวลาสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด
อย่าลืมเว้นช่องว่างในตารางสำหรับงานที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้วางแผน หรือเวลาพักผ่อน
ขั้นตอนที่ 6: ทดลองใช้และปรับปรุง
เริ่มใช้ Time Blocking และสังเกตว่ามีอะไรที่ต้องปรับปรุงบ้าง อย่ากลัวที่จะปรับเปลี่ยนตารางเวลาให้เหมาะกับคุณ
เคล็ดลับเพิ่มเติม:
- ใช้สีแยกแยะประเภทของกิจกรรมในปฏิทิน
- ตั้งการแจ้งเตือนเมื่อใกล้ถึงเวลาเปลี่ยนกิจกรรม
- ทบทวนและปรับปรุงตารางเวลาทุกสัปดาห์
- อย่าลืมจัดสรรเวลาสำหรับการพักผ่อนและกิจกรรมส่วนตัว
การเริ่มต้นใช้ Time Blocking อาจต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่เมื่อคุณเริ่มเห็นผลลัพธ์ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน คุณจะรู้สึกว่าการลงทุนเวลานี้คุ้มค่าอย่างแน่นอน
3. เครื่องมือและแอปพลิเคชันสำหรับ Time Blocking
การใช้เครื่องมือและแอปพลิเคชันที่เหมาะสมจะช่วยให้การทำ Time Blocking มีประสิทธิภาพมากขึ้น ต่อไปนี้คือตัวเลือกยอดนิยมที่คุณควรพิจารณา:
Google Calendar
เป็นตัวเลือกยอดนิยมและใช้งานง่าย ด้วยคุณสมบัติดังนี้:
- สร้างบล็อกเวลาด้วยการคลิกและลากในปฏิทิน
- ตั้งค่าการแจ้งเตือนก่อนถึงเวลาทำงานแต่ละบล็อก
- ใช้สีแยกแยะประเภทของกิจกรรมต่างๆ
- ซิงค์กับอุปกรณ์หลายเครื่องได้
Todoist
แอปจัดการงานที่ผสานการทำ Time Blocking ได้อย่างลงตัว:
- สร้างและจัดการรายการงานได้อย่างยืดหยุ่น
- กำหนดลำดับความสำคัญและวันครบกำหนดสำหรับแต่ละงาน
- ใช้ฟีเจอร์ Boards เพื่อจัดกลุ่มงานตาม Time Blocks
- ซิงค์กับ Google Calendar เพื่อดูงานในปฏิทิน
Clockify
แอปติดตามเวลาที่มีฟีเจอร์ Time Blocking ในตัว:
- สร้างบล็อกเวลาสำหรับงานเฉพาะ
- ติดตามเวลาที่ใช้จริงในแต่ละงาน
- ดูรายงานการใช้เวลาเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ
- ใช้งานฟรีสำหรับฟีเจอร์พื้นฐาน
RescueTime
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการวิเคราะห์การใช้เวลาอย่างละเอียด:
- ติดตามการใช้งานแอปและเว็บไซต์โดยอัตโนมัติ
- จัดหมวดหมู่กิจกรรมตามระดับผลิตภาพ
- ตั้งเป้าหมายการใช้เวลาและรับการแจ้งเตือน
- บล็อกเว็บไซต์ที่ทำให้เสียสมาธิในช่วงเวลาทำงาน
Focus Booster
ใช้เทคนิค Pomodoro ร่วมกับ Time Blocking:
- ตั้งค่าช่วงเวลาทำงาน 25 นาทีสลับกับพัก 5 นาที
- ติดตามเวลาที่ใช้ในแต่ละงาน
- สร้างรายงานเพื่อวิเคราะห์ประสิทธิภาพ
- ซิงค์ข้อมูลระหว่างอุปกรณ์ต่างๆ
การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับความต้องการและรูปแบบการทำงานของแต่ละคน ลองทดลองใช้แอปต่างๆ เพื่อหาตัวที่เข้ากับคุณที่สุด และอย่าลืมว่าแม้แต่สมุดโน้ตและปากกาก็สามารถใช้ทำ Time Blocking ได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน
4. เทคนิคการปรับใช้ Time Blocking ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การทำงาน
การปรับใช้ Time Blocking ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การทำงานของแต่ละคนเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต่อไปนี้คือเทคนิคที่จะช่วยให้คุณปรับใช้ Time Blocking ได้อย่างเหมาะสม:
กำหนดธีมประจำวัน
ลองกำหนดธีมการทำงานในแต่ละวัน เช่น วันจันทร์เป็นวันสำหรับการวางแผน วันอังคารเป็นวันสำหรับการประชุม วันพุธเป็นวันสำหรับงานสร้างสรรค์ เป็นต้น การมีธีมจะช่วยให้คุณโฟกัสกับงานประเภทเดียวกันได้ดีขึ้น
ใช้เทคนิค Task Batching
จัดกลุ่มงานที่มีลักษณะคล้ายกันไว้ด้วยกัน เช่น การตอบอีเมลและข้อความทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน หรือการทำงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ในช่วงที่คุณรู้สึกว่ามีพลังงานสูงสุด
สร้างช่วง Do-Not-Disturb
กำหนดช่วงเวลาที่คุณต้องการสมาธิสูงสุดเป็นช่วง "ห้ามรบกวน" โดยปิดการแจ้งเตือนทั้งหมดและแจ้งให้เพื่อนร่วมงานทราบ เพื่อให้คุณสามารถโฟกัสกับงานสำคัญได้อย่างเต็มที่
ใช้เทคนิค 52/17
แบ่งเวลาทำงานเป็นช่วงละ 52 นาที และพัก 17 นาที ซึ่งเป็นสัดส่วนที่พบว่าช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ดี โดยเฉพาะสำหรับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์
ปรับตามช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
สังเกตว่าช่วงเวลาใดที่คุณมีประสิทธิภาพสูงสุด และจัดสรรงานที่สำคัญหรือต้องใช้สมาธิมากไว้ในช่วงเวลานั้น เช่น หากคุณทำงานได้ดีในตอนเช้า ให้จัดงานที่ต้องใช้ความคิดไว้ในช่วงนั้น
เผื่อเวลาสำหรับงานฉุกเฉิน
จัดสรรช่วงเวลาว่างไว้สำหรับงานที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด หรือการประชุมที่อาจถูกเลื่อนมา การมีช่วงเวลาว่างนี้จะช่วยให้ตารางของคุณยืดหยุ่นมากขึ้น
ทบทวนและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ
ในทุกสัปดาห์ ให้ทบทวนว่า Time Blocking ของคุณมีประสิทธิภาพแค่ไหน มีอะไรที่ควรปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงบ้าง เพื่อให้เข้ากับรูปแบบการทำงานและชีวิตของคุณมากที่สุด
ใช้แอปพลิเคชันช่วยจัดการ
ใช้แอปพลิเคชันอย่าง Google Calendar หรือ Todoist เพื่อช่วยในการจัดการ Time Blocking ของคุณ แอปเหล่านี้มีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณจัดการเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การปรับใช้ Time Blocking ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การทำงานของคุณอาจต้องใช้เวลาและการทดลอง อย่ากลัวที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการจนกว่าจะพบวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
5. ข้อดีและข้อควรระวังในการใช้ Time Blocking
Time Blocking เป็นเทคนิคการจัดการเวลาที่มีประสิทธิภาพ แต่เช่นเดียวกับเทคนิคอื่นๆ ก็มีทั้งข้อดีและข้อควรระวัง มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง:
ข้อดีของ Time Blocking
- เพิ่มผลผลิต: ช่วยให้คุณโฟกัสกับงานหนึ่งๆ โดยไม่วอกแวก ทำให้ทำงานได้มากขึ้นในเวลาที่น้อยลง
- ลดความเครียด: เมื่อรู้ว่าทุกอย่างมีเวลาของมัน คุณจะรู้สึกควบคุมชีวิตได้มากขึ้น
- ป้องกันการผัดวันประกันพรุ่ง: การกำหนดเวลาชัดเจนช่วยให้คุณมีแรงจูงใจในการทำงานให้เสร็จ
- ช่วยในการจัดลำดับความสำคัญ: ทำให้คุณเห็นภาพรวมของงานและจัดการกับสิ่งสำคัญก่อน
- ปรับปรุงการประมาณเวลา: ช่วยให้คุณเข้าใจว่างานแต่ละอย่างใช้เวลาเท่าไหร่จริงๆ
ข้อควรระวังในการใช้ Time Blocking
- อาจทำให้รู้สึกจำกัด: บางคนอาจรู้สึกว่าการกำหนดเวลาตายตัวทำให้ขาดความยืดหยุ่น
- ต้องใช้เวลาในการวางแผน: การจัดตารางเวลาอย่างละเอียดต้องใช้เวลาและความพยายาม
- อาจเกิดความรู้สึกล้มเหลวเมื่อไม่เป็นไปตามแผน: หากไม่สามารถทำตามตารางได้ อาจทำให้รู้สึกท้อแท้
- อาจละเลยความยืดหยุ่น: การยึดติดกับตารางมากเกินไปอาจทำให้พลาดโอกาสหรืองานสำคัญที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด
- อาจทำให้เกิดความเครียดในระยะแรก: การปรับตัวให้เข้ากับระบบใหม่อาจทำให้รู้สึกกดดันในช่วงแรก
เทคนิคการรับมือกับข้อจำกัด
- เผื่อเวลาสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิด: ให้เว้นช่องว่างในตารางสำหรับงานฉุกเฉินหรือโอกาสที่อาจเกิดขึ้น
- ปรับแผนอย่างยืดหยุ่น: อย่ากลัวที่จะปรับเปลี่ยนตารางเวลาหากมีความจำเป็น
- เริ่มต้นทีละน้อย: ไม่จำเป็นต้องจัดตารางทุกนาทีของวัน เริ่มจากการจัดตารางเฉพาะช่วงเวลาสำคัญก่อน
- ใช้เทคนิคผสมผสาน: ผสมผสาน Time Blocking กับเทคนิคอื่นๆ เช่น Pomodoro Technique เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
- ทบทวนและปรับปรุงสม่ำเสมอ: ประเมินผลการใช้ Time Blocking ของคุณเป็นประจำและปรับให้เหมาะสม
การใช้ Time Blocking อย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัยการฝึกฝนและความอดทน อย่าท้อถ้าไม่สำเร็จในครั้งแรก ให้เวลาตัวเองในการปรับตัวและค้นหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคุณ
6. กรณีศึกษา: ผู้ประสบความสำเร็จที่ใช้ Time Blocking
อีลอน มัสก์: จัดการเวลาแบบละเอียดยิบ
อีลอน มัสก์ ซีอีโอของ Tesla และ SpaceX ใช้ Time Blocking อย่างเข้มงวด โดยแบ่งวันของเขาออกเป็นช่วงเวลา 5 นาที และกำหนดงานเฉพาะให้กับแต่ละช่วง วิธีนี้ช่วยให้เขาสามารถบริหารหลายบริษัทและโครงการได้พร้อมกัน ทำให้ใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
บิล เกตส์: โฟกัสกับงานที่ซับซ้อน
บิล เกตส์ ผู้ร่วมก่อตั้ง Microsoft ใช้ Time Blocking เพื่อขจัดสิ่งรบกวนและเพิ่มสมาธิ เขาจัดสรรเวลาที่ไม่มีการรบกวนสำหรับงานที่ต้องใช้ความคิดลึกซึ้ง ทำให้สามารถแก้ปัญหาที่ซับซ้อนและคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซาราห์: นักออกแบบกราฟิกอิสระที่สร้างสมดุลชีวิต
ซาราห์เคยประสบปัญหาการทำงานหนักเกินไปจนเกิดภาวะหมดไฟ หลังจากนำ Time Blocking มาใช้ เธอได้:
- จัดหมวดหมู่งานตามความสำคัญและความเร่งด่วน
- แบ่งเวลาเฉพาะสำหรับงานลูกค้า โปรเจกต์ส่วนตัว และเวลาพัก
- เพิ่มผลผลิต ลดความเครียด และมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น
ฟิล: พนักงานออฟฟิศที่ปรับปรุงประสิทธิภาพ
ฟิลเคยรู้สึกว่าทำงานไม่ทัน และเครียดมาก หลังจากเข้าอบรม Time Management และนำ Time Blocking มาใช้ เขาได้:
- จัดลำดับความสำคัญของงานโดยใช้ระบบ Time Matrix
- แบ่งงานใหญ่เป็นงานย่อยที่จัดการได้ง่ายขึ้น
- ทำงานยากในช่วงเช้า และงานง่ายในช่วงบ่าย
- ลดการรบกวนโดยตั้งเวลาเช็คอีเมลและช่วงเวลาสังสรรค์
- เรียนรู้วิธีปฏิเสธงานที่ไม่จำเป็นอย่างสุภาพ
ผลลัพธ์คือ ฟิลสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเครียด และกลับมาเป็นพนักงานที่มีผลงานดีเยี่ยมอีกครั้ง
บทเรียนจากกรณีศึกษา
- Time Blocking ช่วยจัดการงานที่ซับซ้อนและหลากหลายได้ดี
- การจัดลำดับความสำคัญของงานเป็นกุญแจสำคัญ
- ควรมีความยืดหยุ่นและปรับแผนตามความเหมาะสม
- การลดการรบกวนและสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจเป็นสิ่งสำคัญ
- Time Blocking ไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยลดความเครียดด้วย
Key Takeaways
ความเข้าใจเกี่ยวกับ Time Blocking
- Time Blocking คือการจัดสรรช่วงเวลาเฉพาะสำหรับงานหรือกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน
- ช่วยเพิ่มสมาธิ ลดการผัดวันประกันพรุ่ง และจัดลำดับความสำคัญของงานได้ดีขึ้น
วิธีเริ่มต้นใช้ Time Blocking
- สำรวจกิจวัตรประจำวันและจัดลำดับความสำคัญของงาน
- สร้างตารางเวลาโดยกำหนดช่วงเวลาทำงานที่ชัดเจน
- เผื่อเวลาสำหรับเหตุการณ์ไม่คาดคิดและทบทวนปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ
เครื่องมือและแอปพลิเคชันที่ช่วยในการทำ Time Blocking
- Google Calendar, Todoist, Clockify, RescueTime, และ Focus Booster เป็นตัวเลือกยอดนิยม
- แต่ละแอปมีจุดเด่นต่างกัน เลือกใช้ตามความเหมาะสมกับรูปแบบการทำงาน
เทคนิคการปรับใช้ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์
- กำหนดธีมประจำวัน ใช้เทคนิค Task Batching และสร้างช่วง Do-Not-Disturb
- ปรับตามช่วงเวลาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดของแต่ละคน
ข้อดีและข้อควรระวัง
- ข้อดี: เพิ่มผลผลิต ลดความเครียด ป้องกันการผัดวันประกันพรุ่ง
- ข้อควรระวัง: อาจรู้สึกจำกัด ต้องใช้เวลาในการวางแผน อาจเกิดความรู้สึกล้มเหลวเมื่อไม่เป็นไปตามแผน
บทเรียนจากผู้ประสบความสำเร็จ
- Time Blocking สามารถปรับใช้ได้กับหลากหลายอาชีพและรูปแบบการทำงาน
- ความยืดหยุ่นและการปรับแผนตามสถานการณ์เป็นสิ่งสำคัญ
- การลดสิ่งรบกวนและการจัดลำดับความสำคัญช่วยเพิ่มประสิทธิภาพอย่างมาก
คำถามพบบ่อย (FAQ)
Time Blocking คืออะไร?
Time Blocking คือเทคนิคการจัดการเวลาโดยการแบ่งวันของคุณออกเป็นช่วงเวลาต่างๆ และกำหนดงานหรือกิจกรรมเฉพาะให้กับแต่ละช่วงเวลา เช่น กำหนดเวลา 9.00-11.00 น. สำหรับการเขียนโค้ด 11.00-12.00 น. สำหรับการตอบอีเมล เป็นต้น
Time Blocking แตกต่างจาก Time Boxing อย่างไร?
Time Blocking เป็นการกำหนดว่าคุณจะทำอะไรเมื่อไหร่ ส่วน Time Boxing เป็นการกำหนดระยะเวลาที่แน่นอนสำหรับงานหนึ่งๆ และหยุดเมื่อหมดเวลา ไม่ว่างานจะเสร็จหรือไม่ก็ตาม Time Boxing มักใช้กับงานเดี่ยว ในขณะที่ Time Blocking มักใช้วางแผนทั้งวันหรือทั้งสัปดาห์
ทำไมต้องใช้ Time Blocking?
Time Blocking ช่วยเพิ่มผลผลิต ให้โครงสร้างที่ชัดเจน เพิ่มสมาธิ ช่วยจัดการงานตามความสำคัญ และเสริมสร้างทักษะการบริหารเวลา นอกจากนี้ยังช่วยลดความเครียดและทำให้คุณควบคุมตารางชีวิตได้ดีขึ้น
มีเทคนิคอะไรบ้างในการทำ Time Blocking ให้มีประสิทธิภาพ?
เทคนิคที่ช่วยให้ Time Blocking มีประสิทธิภาพ ได้แก่ การจัดบล็อกเวลาล่วงหน้า ซื่อสัตย์กับตนเองในการประเมินเวลา ลบสิ่งรบกวนออกไป เข้าใจนาฬิการ่างกายของตนเอง อย่ากังวลเมื่อทำงานไม่สำเร็จตามที่กำหนด บอกให้คนอื่นรู้ถึงตารางเวลาของคุณ และปรับปรุงบล็อกเวลาอยู่เสมอ
มีเครื่องมือหรือแอปพลิเคชันอะไรบ้างที่ช่วยในการทำ Time Blocking?
เครื่องมือและแอปพลิเคชันที่นิยมใช้สำหรับ Time Blocking ได้แก่ Google Calendar, Todoist, Clockify, RescueTime และ Focus Booster นอกจากนี้ยังมีแอปอื่นๆ ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ Time Blocking โดยตรง คุณควรทดลองใช้หลายๆ แอปเพื่อหาตัวที่เหมาะกับรูปแบบการทำงานของคุณมากที่สุด
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
- Todoist: The Ultimate Guide to Time Blocking
- Forbes: 6 Tips For Better Time Blocking
- The Muse: How to Use Time Blocking to Make 2023 Your Most Productive Year Yet
- The New York Times Wirecutter: How to Use Time Blocking to Manage Your Day
- Harvard Business Review: How Timeboxing Works and Why It Will Make You More Productive