
Promotion Strategy: ทำโปรอย่างไรให้มีกำไร และไม่กระทบแบรนด์
🤔“ไม่ใช่ทุกโปรโมชั่นที่ขายดี จะทำกำไร… และไม่ใช่ทุกโปรโมชั่นที่มีกำไร จะสร้างสัมพันธ์กับลูกค้าได้ยั่งยืน”
หลังจากที่เราได้พูดถึง “การตั้งเป้าหมายของโปรโมชั่น” ไปในตอนที่แล้ว วันนี้เราจะพาคุณมาดู “กลยุทธ์เครื่องมือโปรโมชัน” ที่สามารถใช้ได้หลากหลาย — ซึ่งแต่ละแบบมีจุดเด่นในแต่ละด้าน และถ้าเลือกให้ถูกกับ Job To Be Done (JTBD) ที่ตั้งไว้ ผลลัพธ์จะไม่ใช่แค่ขายดีในระยะสั้น...แต่ส่งผลดีต่อแบรนด์ในระยะยาว
ปัญหาที่พบจริง: “ขายดี...แต่ไม่รู้ว่าเวิร์กเพราะอะไร?”
เชื่อไหมครับว่า มีหลายแบรนด์ที่ทำโปรแล้ว “ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า” แต่เมื่อจะขยับแคมเปญครั้งต่อไป กลับไม่มีใครตอบได้ว่า อะไรคือปัจจัยที่ทำให้แคมเปญนั้นสำเร็จจริง ๆ? เพราะไม่มีระบบวัดผลที่ดีพอ
🎯การวัดผลโปรโมชั่นไม่ใช่แค่เช็กว่ายอดขายขึ้นหรือไม่ แต่นักกลยุทธ์ต้องถามให้ลึกกว่านั้นว่า… “ผลลัพธ์ที่ได้ เกิดจากสิ่งที่เราวางแผนไว้จริงหรือเปล่า?”
วัดผลอย่างไรให้ได้คำตอบที่ใช้ต่อยอดได้
วัดเทียบกับ “เป้าหมายพฤติกรรม” ไม่ใช่แค่ยอดขายรวม
ถ้าคุณตั้งเป้าไว้ว่า…
- ให้ลูกค้า “ทดลองซื้อ” → ต้องวัดจำนวนลูกค้าใหม่
- ให้ลูกค้า “ซื้อเยอะขึ้น” → ต้องวัด average basket size
- ให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ → ต้องวัด repeat rate หลังโปร
- ป้องกันไม่ให้เสียลูกค้าให้คู่แข่ง → ต้องวัด share of wallet หรือ retention rate
อย่าวัดตามความเคยชิน…ต้องวัดให้ตรงกับ JTBD (Job to be Done) ที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้น
ใช้ตัวชี้วัดที่สะท้อน “คุณภาพ” ไม่ใช่แค่ “ปริมาณ”
ตัวอย่างเช่น:
- “เพิ่มจำนวนลูกค้าใหม่” → วัดจาก “% ลูกค้าใหม่ในช่วงโปร”
- “เพิ่มยอดซื้อต่อบิล” → วัดจาก “ยอดเฉลี่ยต่อคำสั่งซื้อ (Basket Size)”
- “เพิ่มอัตราการซื้อซ้ำ” → วัดจาก “% ลูกค้ากลับมาซื้อใน 90 วัน”
- “สร้าง Loyalty” → วัดจาก “จำนวนแต้มที่ถูกใช้แลก / ความถี่การซื้อ”
- “ขยายฐานผ่านการแนะนำ” → วัดจาก “จำนวนผู้ใช้ Referral Code”
อย่าลืมวัด “ผลกระทบด้านลบ” ของโปร
บางโปรโมชั่นขายดีในช่วงแรก...แต่กลายเป็นว่าทำร้ายแบรนด์ในระยะยาว เช่น:
- ลูกค้าชินกับการซื้อเฉพาะช่วงลดราคาเท่านั้น
- ร้านค้าหรือพาร์ตเนอร์รู้สึกว่า “โดนบีบ” จนไม่อยากร่วมอีก
- Margin หาย รายได้รวมลด แม้ยอดขายจะเพิ่ม
สิ่งเหล่านี้คือ “Hidden Cost” ที่ต้องวัดและเฝ้าระวังไม่แพ้ยอดขาย
วัดผลแบบ Before–During–After
อย่าวัดแค่ช่วงทำโปรโมชั่นเท่านั้น การวางแผนวัดผลที่ดี ต้องวัดทั้งก่อน ระหว่าง และหลังแคมเปญ เพื่อให้เห็น “ภาพรวมของผลกระทบ” และแยกแยะได้ว่า ผลที่เกิดขึ้นเป็นผลลัพธ์จริงที่ยั่งยืนหรือแค่ “ผลชั่วคราว” แค่ช่วงโปรโมชั่น
เคล็ดลับ:
- วาง KPI สำหรับโปรโมชั่นแต่ละแบบให้ชัด ก่อนเริ่ม
- ทำ A/B Test เมื่อทำได้ เพื่อวัดผลแบบมีตัวเปรียบเทียบ
- อย่าลืมวัด Cost per Result – เพราะโปรที่ขายดีแต่ต้นทุนสูงเกินไปก็ไม่ยั่งยืน
- ทำ Post-Mortem หลังจบโปรทุกครั้ง สรุปให้ได้ว่า อะไรเวิร์ก อะไรไม่เวิร์ก
⏳ตอนหน้า (EP.3) เราจะพาคุณไปดูวิธี วัดผล ว่าโปรที่ทำไป… “เวิร์กจริง” หรือแค่ “ขายได้แบบลมพัดผ่าน”
🎓สนใจเรียนรู้กลยุทธ์การทำโปรโมชั่นจากมุมคิดแบบนักกลยุทธ์มืออาชีพ KCT Academy เรามีหลักสูตรที่สอนให้ คิดอย่างมีกลยุทธ์ วางแผนอย่างมืออาชีพ และสร้างผลลัพธ์ระยะยาว