วิเคราะห์และวัดผล: ความลับของการทำ Digital Transformation ให้ไปต่อได้จริง

วิเคราะห์และวัดผล: ความลับของการทำ Digital Transformation ให้ไปต่อได้จริง

วิเคราะห์และวัดผล: ความลับของการทำ Digital Transformation ให้ไปต่อได้จริง

📖บทความที่ผ่านมาเราได้พูดถึงกระบวนการง่ายๆในการทำ Digital Transformation โดยเราได้พูดถึง การปรับเปลี่ยนความคิดและวัฒนธรรมองค์กร, การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้, การพัฒนาทักษะของพนักงานและ การปรับปรุงกระบวนการทำงาน ในครั้งนี้จะกล่าวถึงหัวข้อสำคัญ ซึ่งจะถือว่าเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จของการทำ Digital Transformation ว่าที่ได้ทำมาทั้งหมดถูกทิศทางตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ ก็คือ ในเรื่องของการวิเคราะห์และวัดผล

“สิ่งที่วัดผลได้ คือสิ่งที่พัฒนาได้”

คำนี้ใช้ได้กับทุกเรื่อง โดยเฉพาะกับ Digital Transformation เพราะการเปลี่ยนแปลงองค์กรไม่ใช่โครงการที่ทำแล้วจบ แต่เป็นการเดินทางระยะยาว ถ้าเราไม่วิเคราะห์ ไม่วัดผล ก็จะไม่รู้เลยว่าเรากำลังเดินถูกทางหรือเปล่า หลายองค์กรลงทุนไปมากกับเทคโนโลยี อบรมพนักงาน และปรับกระบวนการ แต่พอเวลาผ่านไปกลับไม่รู้ว่ามันคุ้มค่าหรือเปล่า นี่แหละครับคือเหตุผลที่ “การวิเคราะห์และวัดผล” เป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ Digital Transformation ประสบความสำเร็จ

ทำไมต้องวิเคราะห์และวัดผล?

  • รู้ว่าเราอยู่ตรงไหน: การวัดผลช่วยให้เราเห็นชัดๆ ว่าองค์กรเดินมาถึงไหนแล้ว เช่น จากเดิมใช้เอกสารกระดาษ 100% ตอนนี้ลดเหลือ 20% แปลว่าเราขยับไปข้างหน้าแล้ว
  • รู้ว่าอะไรเวิร์ค อะไรไม่เวิร์ค: บางโครงการอาจดูดีบนกระดาษ แต่พอทำจริงกลับไม่ตอบโจทย์ลูกค้า ถ้าไม่มีการวัดผล เราอาจทุ่มทรัพยากรไปกับสิ่งที่ไม่สร้างคุณค่า
  • ปรับปรุงได้ตลอดเวลา: Digital Transformation ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น แต่มันคือมาราธอน การวิเคราะห์ผลลัพธ์ช่วยให้องค์กรสามารถ “ปรับจูน” ได้เรื่อยๆ
  • สร้างความมั่นใจให้ผู้บริหารและทีมงาน: ตัวเลขและข้อมูลจริงคือหลักฐานที่ทำให้ทุกคนมั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่แฟชั่น แต่สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้
Dashboard วิเคราะห์ข้อมูล

สิ่งที่ควรวัดผลในการทำ Digital Transformation

จริงๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับเป้าหมายขององค์กร แต่โดยทั่วไปมี 4 ด้านหลักที่ควรโฟกัส

1

ประสิทธิภาพการทำงาน (Operational Efficiency)

ลดเวลาในกระบวนการทำงาน (เช่น การอนุมัติเอกสารที่เคยใช้ 7 วัน เหลือแค่ 2 วัน), ลดต้นทุน (ค่าใช้จ่ายกระดาษ, ค่าเดินทาง, ค่าแรงที่ซ้ำซ้อน), เพิ่มปริมาณงานที่ทำได้ในเวลาเท่าเดิม

2

ประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience)

ระยะเวลาที่ลูกค้ารอคอย (เช่น การเปิดบัญชีออนไลน์ภายใน 5 นาที แทนที่จะเป็น 3 วัน), ระดับความพึงพอใจ (วัดผ่าน Customer Satisfaction Survey หรือ Net Promoter Score), อัตราการกลับมาใช้บริการซ้ำ

3

การสร้างนวัตกรรมและโอกาสใหม่ (Innovation & Growth)

จำนวนบริการใหม่หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี, สัดส่วนรายได้ใหม่ที่มาจากช่องทางดิจิทัล หรือจะวัดจากความสามารถในการแข่งขัน เช่น การเข้าสู่ตลาดใหม่ได้เร็วขึ้น

4

การพัฒนาคนและวัฒนธรรมองค์กร (People & Culture)

จำนวนพนักงานที่ผ่านการอบรมทักษะดิจิทัล, ระดับการมีส่วนร่วมของพนักงาน (Employee Engagement), การเปิดรับการเปลี่ยนแปลง (วัดจากแบบสอบถามหรือกิจกรรม Feedback)

วิธีการวัดผลที่ใช้งานได้จริง

  • ตั้งตัวชี้วัด (KPI) ชัดเจนตั้งแต่แรก: ถามตัวเองว่า “เราทำ Digital Transformation เพื่ออะไร?” ถ้าเป้าหมายคือเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า ก็ควรวัดที่คะแนนความพึงพอใจ ไม่ใช่แค่จำนวนระบบที่ติดตั้ง
  • ใช้ข้อมูลจริง ไม่ใช่ความรู้สึก: หลายองค์กรชอบบอกว่า “ลูกค้าชอบนะ” แต่ไม่มีตัวเลขมาสนับสนุน ควรใช้ Data Dashboard ที่ดึงข้อมูลเรียลไทม์มาช่วย
  • เก็บ Feedback จากทั้งลูกค้าและพนักงาน: เพราะบางทีตัวเลขสวยหรู แต่คนใช้งานจริงกลับไม่แฮปปี้ การรับฟังเสียงทั้งสองฝ่ายช่วยให้เราเห็นมุมที่หลุดไป
  • เปรียบเทียบกับมาตรฐาน (Benchmarking): ลองดูว่าองค์กรอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันเขาทำได้ระดับไหน จะได้รู้ว่าเรายังตามหลังหรือก้าวนำ
  • ทำ Review อย่างสม่ำเสมอ: อย่ารอให้ครบปีแล้วค่อยมาดูผล เพราะโลกเปลี่ยนเร็วมาก ควรรีวิวทุกไตรมาส หรือบางกรณีอาจต้องทุกเดือน

ตัวอย่างจริง: บริษัทที่วัดผลได้ดี

  • ธนาคาร: วัดผลจากจำนวนธุรกรรมที่ลูกค้าเลือกทำผ่าน Mobile Banking แทนที่จะไปสาขา ผลคือรู้เลยว่าการลงทุนพัฒนาแอปมือถือคุ้มค่าแค่ไหน
  • โรงงานอุตสาหกรรม: ใช้ IoT และ Automation เพื่อลด Downtime ของเครื่องจักร แล้ววัดเป็นชั่วโมงการทำงานจริงของเครื่องจักรที่เพิ่มขึ้น
  • ค้าปลีก: ใช้ Big Data วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า แล้ววัดจากยอดขายที่มาจากการทำ Personalized Marketing

สำหรับองค์กรที่เพิ่งเริ่ม มีเคล็ดลับเล็กๆมาบอกกันครับ

  • เริ่มจากการวัดผลเล็กๆ ก่อน เช่น เวลาที่พนักงานใช้ในการหาข้อมูลจากเดิม 30 นาที ลดเหลือ 10 นาที
  • อย่าพยายามวัดทุกอย่างพร้อมกัน เพราะจะทำให้ทีมงานเหนื่อยและอาจจะหมดกำลังใจ ควรเลือกสิ่งที่ Impact สูงสุดก่อน
  • ใช้การสื่อสารที่เข้าใจง่าย เช่น Dashboard ที่ทุกคนดูแล้วรู้ทันทีว่าดีขึ้นหรือแย่ลง ไม่ใช่รายงานยาวๆ ที่อ่านแล้วต้องมาคอยตีความกันอีกให้วุ่นวาย

🧭ขอส่งท้ายสำหรับเรื่องนี้แบบนี้ครับ: การวิเคราะห์และวัดผล คือ “เข็มทิศ” ของ Digital Transformation ถ้าไม่มี เราอาจจะเดินวนอยู่ที่เดิมโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้ามี เราจะรู้ว่ากำลังเดินถูกทางหรือไม่ และจะได้ปรับทิศทันเวลา สิ่งสำคัญคืออย่ามองการวัดผลว่าเป็น “งานเอกสาร” ที่ต้องทำเพื่อรายงานผู้บริหารเท่านั้น แต่ให้มองว่าเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะท้ายที่สุดแล้ว การทำ Digital Transformation ไม่ใช่แค่เรื่องของการใช้เทคโนโลยี แต่คือการสร้างคุณค่าใหม่ๆ ให้กับลูกค้า พนักงาน และองค์กรเอง และการวิเคราะห์กับวัดผลนี่แหละครับ ที่จะทำให้เรามั่นใจได้ว่าความเปลี่ยนแปลงนั้น “คุ้มค่าและยั่งยืนจริงๆ”

เกี่ยวกับผู้เขียน

ประคอง ขันธเขตต์

Languages: TH

Ready to join our knowledge castle?

Find the right program for your organization and achieve your goals today

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save