วันนี้ขอเล่าชีวิตของผมหน่อย ดราม่าเล็กๆ แต่ก็น่าจะเป็นส่วนในการผลักดันให้กับคนหลายๆคนนะครับ ผมเกิดมาในครอบครัวที่มีฐานะ คือ ฐานะยากจนถึงปานกลาง ณ ภาคอีสา
สมัยผมเรียน ป.1 ผมต้องห่อข้าวไปกินที่โรงเรียน ไม่เคยมีเงินไปโรงเรียน ที่บ้านไม่มีทีวี เวลาจะดูทีวีคือต้องไปเกาะประตูเหล็กข้างๆบ้านเพื่อดูทีวีเขา หรือเวลาจะดูหนังที่โรงหนัง ผมกับพี่ๆก็จะแอบวิ่งเข้าไปดูตอนหนังใกล้จะจบ ส่วนอาหารการกิน ก็กินง่ายๆ ปลาทูทอด หมูปิ้งกับข้าวเหนียว ช่วงไหนที่เราไม่ค่อยมีเงิน เราก็กินข้าวกับน้ำปลาทิพรส หรือ กินข้าวกับส้มตำเพราะมีต้นมะละกอข้างบ้าน มีผักบุ้งตรงริมน้ำข้างบ้าน ก็เอามาตำส้มตำกินกัน ซึ่งอร่อยมากนะแม้เครื่องจะไม่ครบ เราอยู่บ้านเช่าเล็กๆ ทั้งบ้านมีหลอดไฟหลอดเดียวคือในห้องนอน พวกเราเลยต้องนอนไวและนอนในมุ้งเพราะไม่มีหรอกมุ้งลวด55 หน้าหนาวไม่ต้องถามเลยว่าหนาวมั้ย หนาวมากๆ ก็นอนขดตัวกันในพื้นที่เล็กๆที่มีแม่ พี่ชาย พี่สาวและตัวผม
พอผมอยู่ ม.1 ที่บ้านก็ขายรองเท้าตามตลาดนัด วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมต้องตื่นตี 3 เพื่อไปกับครอบครัวไปขายของตามตลาดนัด ซึ่งจะเริ่มขายตอน 6-7 โมงเช้า เราจึงต้องไปตั้งแต่เช้าเพื่อกางเต็นท์ เรียงรองเท้า รอขาย ถ้าเป็นหน้าฝนนะ ไม่ต้องพูดถึง เละมากๆ โคลนเยอะมาก แต่พอมองย้อนกลับไป มันเหนื่อยแต่มันก็สนุกนะ สอนเราให้รู้จักความอดทน รู้จักคุณค่าของเงินเพราะการหาเงินนั้นไม่ง่ายเลย
พอผมเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย ผมเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงควบคู่ไปกับทำงานที่บริษัท FMCG ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง สมัยนั้นผมเป็นพนักงานที่เด็กที่สุดตอนนั้น อายุ 19 ปี ต้องนั่งรถเมล์ 3 ต่อ ไปทำงาน และเสาร์-อาทิตย์หรือตอนเย็นๆวันธรรมดา ต้องไปติวที่หน้ารามฯ เพราะไม่สามารถเข้าเรียนในเวลาปกติได้ ผมใช้เวลาเรียน 7 ปี กว่าจะจบ เพราะย้ายคณะ 2 ครั้ง
ในการทำงาน คุณอยากเติบโตต้องสื่อสารภาษาอังกฤษให้ได้ ผมเลยลงเรียนภาษาอังกฤษที่ AUA เดือนละ 1,000 บาท ผมต้องนั่งรถเมล์จากที่ทำงานตอน 5 โมง ไปเรียน 1 ชั่วโมง แล้วก็กลับมาทำงานต่อ เป็นแบบนี้เกือบ 2 ปี จนสื่อสาร ขีดเขียนได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ช่วยให้การทำงานของเราในเวลานั้นดีขึ้น
เมื่อผมจบปริญญาตรีมา 2-3 ปี ผมก็สอบเข้าเรียนระดับปริญญาโท ที่ CMMU มหิดล ภาคภาษาอังกฤษ คณะ Innovation Management โดยเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ผมไม่ค่อยมีเงินก็เลยขอทุนจากบริษัทส่วนหนึ่งและแม่ผมก็ช่วยออกค่าเทอมด้วย ผมใช้เวลาเรียน 2 ปีจนจบปริญญาโท ได้พิสูจน์ตัวเองได้เพราะก่อนเรียนก็มีญาติๆปรามาสว่าจะไหวเหรอ แพงก็แพง เทอมละ 7 หมื่นบาท
จุดเริ่มต้นของชีวิตฝ่ายขายเริ่มขึ้นหลังจากนี้ เมื่อผมได้มีโอกาสมาทำงานบริษัท นมผง แห่งหนึ่ง สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากบริษัท FMCG ว่า การวางกลยุทธ์(Strategy) และ กระบวนการ(Process) สำคัญมากและต้อง Practical และ Executable ให้ได้
การเติบโตในงานจึงต้องทำงานเหมือนหมาล่าเนื้อ ตั้งเป้า (Goal setting) รายวัน/รายสัปดาห์/รายเดือน รวมทั้ง Follow up ตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง การจะสำเร็จในงานขาย สิ่งสำคัญคือ ทัศนคติในการชนะ Passion to win และ การบริหารจัดการลูกค้าแบบมีระบบ (Customer Management)
ที่เล่าให้ฟังเพราะอยากจะบอกว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น และต้องมีกลยุทธ์และกระบวนการ ซึ่งผมสามารถถีบตัวเองจากพนักงานชั่วคราว ขึ้นมาเป็น CEO ในบริษัทมหาชน และมีโอกาสในการทำงานต่างประเทศด้วย ผมเชื่อเสมอว่าถ้าเราทำงานด้วยใจ เราทำงานแบบรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของบริษัท เราจะสามารถพัฒนาขีดความสามารถเราได้
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นจริงๆ
จากพนักงานชั่วคราวสู่ CEO: เรื่องเล่าจากชีวิตจริง
👦สมัยผมเรียน ป.1 ผมต้องห่อข้าวไปกินที่โรงเรียน ไม่เคยมีเงินไปโรงเรียน ที่บ้านไม่มีทีวี เวลาจะดูทีวีคือต้องไปเกาะประตูเหล็กข้างๆบ้านเพื่อดูทีวีเขา หรือเวลาจะดูหนังที่โรงหนัง ผมกับพี่ๆก็จะแอบวิ่งเข้าไปดูตอนหนังใกล้จะจบ ส่วนอาหารการกิน ก็กินง่ายๆ ปลาทูทอด หมูปิ้งกับข้าวเหนียว ช่วงไหนที่เราไม่ค่อยมีเงิน เราก็กินข้าวกับน้ำปลาทิพรส หรือ กินข้าวกับส้มตำเพราะมีต้นมะละกอข้างบ้าน มีผักบุ้งตรงริมน้ำข้างบ้าน ก็เอามาตำส้มตำกินกัน ซึ่งอร่อยมากนะแม้เครื่องจะไม่ครบ เราอยู่บ้านเช่าเล็กๆ ทั้งบ้านมีหลอดไฟหลอดเดียวคือในห้องนอน พวกเราเลยต้องนอนไวและนอนในมุ้งเพราะไม่มีหรอกมุ้งลวด55 หน้าหนาวไม่ต้องถามเลยว่าหนาวมั้ย หนาวมากๆ ก็นอนขดตัวกันในพื้นที่เล็กๆที่มีแม่ พี่ชาย พี่สาวและตัวผม
👟พอผมอยู่ ม.1 ที่บ้านก็ขายรองเท้าตามตลาดนัด วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ผมต้องตื่นตี 3 เพื่อไปกับครอบครัวไปขายของตามตลาดนัด ซึ่งจะเริ่มขายตอน 6-7 โมงเช้า เราจึงต้องไปตั้งแต่เช้าเพื่อกางเต็นท์ เรียงรองเท้า รอขาย ถ้าเป็นหน้าฝนนะ ไม่ต้องพูดถึง เละมากๆ โคลนเยอะมาก แต่พอมองย้อนกลับไป มันเหนื่อยแต่มันก็สนุกนะ สอนเราให้รู้จักความอดทน รู้จักคุณค่าของเงินเพราะการหาเงินนั้นไม่ง่ายเลย
👨💻พอผมเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย ผมเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงควบคู่ไปกับทำงานที่บริษัท FMCG ยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง สมัยนั้นผมเป็นพนักงานที่เด็กที่สุดตอนนั้น อายุ 19 ปี ต้องนั่งรถเมล์ 3 ต่อ ไปทำงาน และเสาร์-อาทิตย์หรือตอนเย็นๆวันธรรมดา ต้องไปติวที่หน้ารามฯ เพราะไม่สามารถเข้าเรียนในเวลาปกติได้ ผมใช้เวลาเรียน 7 ปี กว่าจะจบ เพราะย้ายคณะ 2 ครั้ง
🇬🇧ในการทำงาน คุณอยากเติบโตต้องสื่อสารภาษาอังกฤษให้ได้ ผมเลยลงเรียนภาษาอังกฤษที่ AUA เดือนละ 1,000 บาท ผมต้องนั่งรถเมล์จากที่ทำงานตอน 5 โมง ไปเรียน 1 ชั่วโมง แล้วก็กลับมาทำงานต่อ เป็นแบบนี้เกือบ 2 ปี จนสื่อสาร ขีดเขียนได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ช่วยให้การทำงานของเราในเวลานั้นดีขึ้น
🎓เมื่อผมจบปริญญาตรีมา 2-3 ปี ผมก็สอบเข้าเรียนระดับปริญญาโท ที่ CMMU มหิดล ภาคภาษาอังกฤษ คณะ Innovation Management โดยเรียนเป็นภาษาอังกฤษ ผมไม่ค่อยมีเงินก็เลยขอทุนจากบริษัทส่วนหนึ่งและแม่ผมก็ช่วยออกค่าเทอมด้วย ผมใช้เวลาเรียน 2 ปีจนจบปริญญาโท ได้พิสูจน์ตัวเองได้เพราะก่อนเรียนก็มีญาติๆปรามาสว่าจะไหวเหรอ แพงก็แพง เทอมละ 7 หมื่นบาท
📈จุดเริ่มต้นของชีวิตฝ่ายขายเริ่มขึ้นหลังจากนี้ เมื่อผมได้มีโอกาสมาทำงานบริษัท นมผง แห่งหนึ่ง สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากบริษัท FMCG ว่า การวางกลยุทธ์(Strategy) และ กระบวนการ(Process) สำคัญมากและต้อง Practical และ Executable ให้ได้
การเติบโตในงานจึงต้องทำงานเหมือนหมาล่าเนื้อ ตั้งเป้า (Goal setting) รายวัน/รายสัปดาห์/รายเดือน รวมทั้ง Follow up ตามแผนงานอย่างต่อเนื่อง การจะสำเร็จในงานขาย สิ่งสำคัญคือ ทัศนคติในการชนะ Passion to win และ การบริหารจัดการลูกค้าแบบมีระบบ (Customer Management)
ซึ่งผมสามารถถีบตัวเองจากพนักงานชั่วคราว ขึ้นมาเป็น CEO ในบริษัทมหาชน และมีโอกาสในการทำงานต่างประเทศด้วย ผมเชื่อเสมอว่าถ้าเราทำงานด้วยใจ เราทำงานแบบรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของบริษัท เราจะสามารถพัฒนาขีดความสามารถเราได้
