Shopper Marketing ภาคปฏิบัติ: เปลี่ยนจุดซื้อ ให้เป็นจุดชนะ
🤔แล้ว “องค์กร” จะใช้ Shopper Marketing ให้เกิดผลจริงได้อย่างไร?
🎯วางกลยุทธ์ให้ตอบโจทย์ Mission ของลูกค้า
การวางโปรโมชั่นหรือสินค้าที่ดี ไม่ได้เริ่มจากคำว่า “ลดเท่าไหร่ดี?”
แต่มันต้องเริ่มจากคำถามว่า “ลูกค้ากำลังมี Shopping Mission แบบไหน?”
- • ถ้า ลูกค้าเร่งรีบ → จัดวางจุดขายให้หยิบง่าย-จ่ายเร็ว เช่น POP ตรงจุดชำระเงิน, Flash Deal บนหน้าจอมือถือ
- • ถ้า ลูกค้าซื้อของเข้าบ้าน → ใช้โปรแบบแพ็กใหญ่ ลดแบบ Long-Term Value
- • ถ้า ลูกค้าทดลองของใหม่ → ใช้ Sampling, GWP (แถมของ), Introductory Deal หรือ In-store Demo
นักการตลาดที่เข้าใจ Mission คือคนที่สามารถ “คิดแทนลูกค้า ณ จุดซื้อ” ได้ดีที่สุด
🛒AVA: 3 แกนสำคัญในจุดขายที่ต้องไม่ลืม
A – Availability (มีของให้ซื้อ):
ต่อให้สินค้าดีแค่ไหน แต่ถ้า “ไม่มีของให้ซื้อ” ก็ไม่มีทางเกิดยอดขาย
องค์กรต้องวางแผนด้าน Stock, ช่องทางจัดจำหน่าย
และระบบส่งของให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ซื้อในแต่ละ Shopping Mission
เช่น ลูกค้าบางกลุ่มต้องการสินค้าทันที, บางกลุ่มพร้อมรอจัดส่งภายในวัน
ฯลฯ
ยิ่งรู้ว่าผู้ซื้ออยู่ที่ไหน และต้องการอะไร เมื่อไหร่ → ยิ่งสามารถจัด AVA ได้แม่นยำ
V – Visibility (ต้องมองเห็น):
สินค้ามีอยู่ก็จริง...แต่ถ้า “มองไม่เห็น” หรือ “หาไม่เจอ” ก็ขายไม่ได้อยู่ดี
จุดขายต้องทำให้สินค้า “โดดเด่นพอจะถูกเลือก” โดยเฉพาะเมื่อแข่งขันกันที่
Shelf ป้าย POP, ตำแหน่งระดับสายตา, การจัดวางที่มี Contrast หรือแม้แต่
Banner บนแอป คือเครื่องมือที่ช่วยให้สินค้า “ส่งสัญญาณชัดเจน”
ว่าพร้อมให้คุณซื้อ
A – Affordability (ราคาต้องเข้าถึง):
ราคา โปรโมชั่น หรือเงื่อนไขในการได้เป็นเจ้าของ ต้อง เข้าใจง่าย และ จับต้องได้
ไม่จำเป็นต้อง “ถูกที่สุด” แต่ต้องรู้สึกว่า “คุ้ม” เช่น
โปรโมชั่นที่ชัดเจน (“ซื้อ 2 ชิ้น 100 บาท”), เงื่อนไขที่โปร่งใส
(“ส่งฟรีเมื่อครบ 300”), และช่องทางชำระเงินที่หลากหลาย เช่น QR Pay,
E-Wallet, หรือผ่อน 0%
ทั้งหมดนี้คือ “การทำให้ลูกค้าตัดสินใจได้ง่ายขึ้น” ณ จุดซื้อ
🥤ตัวอย่างจริงจากแบรนด์เครื่องดื่มรายหนึ่ง
แบรนด์หนึ่งออกสินค้าใหม่ พร้อมโฆษณาแบบยิ่งใหญ่ มีแบรนด์แอมบาสเดอร์ชื่อดัง ยอด Awareness พุ่ง แต่ยอดขายกลับไม่ขยับเท่าที่คาด
เมื่อทีม Shopper Marketing ลงพื้นที่ กลับพบว่า…
- • Availability: ร้านสะดวกซื้อไม่มีของวางครบทุกสาขา
- • Visibility: สินค้าอยู่มุมล่างสุดของตู้เย็น ไม่มีสื่อใด ๆ
- • Affordability: ราคาสูงกว่าคู่แข่ง 5 บาท โดยผู้ซื้อไม่เห็นความแตกต่าง
เมื่อแก้ไข AVA → เปลี่ยนตำแหน่งวางสินค้าให้เด่นขึ้น, แจก Sampling
พร้อมโปรเปิดตัว, และปรับราคาชั่วคราว เพียง 2
สัปดาห์...ยอดขายกระโดดขึ้นทันที!
กลยุทธ์ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน ขอแค่ “เข้าถึงจริง” ณ จุดซื้อ ก็ชนะคู่แข่งได้
📊ใช้ Data หน้างาน ไม่ใช่แค่ยอดขายรวม
หลายองค์กรยังวางกลยุทธ์จากยอดขายรวม…แต่ลืมดูพฤติกรรมในแต่ละ “ช่องทาง”
ถ้าอยากทำโปรโมชั่นแบบแม่นยำขึ้น ต้องใช้ข้อมูลที่ลึกกว่าแค่ Volume:
- • ดูว่า ช่องทางไหนเหมาะกับ Mission แบบใด เช่น:
- o 7-Eleven = Mission แบบเร่งด่วน
- o Lotus’s = ช้อปเข้าบ้าน
- o Shopee = ลองของใหม่ + คุ้มราคา
- • วิเคราะห์สัดส่วน First-time vs Repeat Buyer
- • วัดและเก็บ Feedback ณ จุดขาย เช่น เหตุผลที่ซื้อ–ไม่ซื้อ (จากพนักงาน, แบบสอบถาม, หรือข้อมูลหลังบ้าน)
🤝ทำงาน Cross-Functional คือหัวใจของความสำเร็จ
Shopper Marketing ไม่ใช่งานของ Marketing ฝ่ายเดียว แต่มันต้องเกิดจากการ
“เล่นเป็นทีม” ระหว่าง Marketing – Sales – Trade – Digital และ
Frontline:
- • ATL (Above the Line) → สร้าง Awareness
- • BTL / Trade Marketing → วางโปร ณ จุดซื้อ
- • Online → ทำ Retargeting และปิดการขายซ้ำ
- • ทีมหน้าร้าน / BA / PC → เก็บ Insight สดจากสนามจริง
องค์กรที่ทำ Shopper Marketing ได้ดี มักเริ่มต้นด้วย “เป้าหมายร่วม” เช่น
“ปีนี้เราจะดันสินค้า A ให้โตในช่องทาง CVS ให้ได้ +30%”
แล้วจึงร่วมกันวางแผน โปร สื่อ จุดขาย และทีมที่เกี่ยวข้องแบบครบวงจร
🏁สรุปส่งท้าย
Shopper Marketing ไม่ใช่ศาสตร์ที่ซับซ้อน แต่ต้อง “คิดให้เป็นระบบ”
ตั้งแต่เข้าใจพฤติกรรม → สร้างกลยุทธ์ → ลงมือปฏิบัติ → วัดผลให้ได้
ถ้าทำได้…คุณจะเห็นว่าสินค้าที่ดูธรรมดา กลับขายดีขึ้นได้อย่างมีเหตุผล และแบรนด์ของคุณก็จะ “เข้าใจผู้ซื้อ” ได้ลึกกว่าแบรนด์ไหน ๆ
หากคุณกำลังอยากสร้างความเปลี่ยนแปลงในการทำตลาด KCT Academy
พร้อมช่วยคุณออกแบบกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง
เพราะเราคือเพื่อนร่วมทางของนักการตลาดสายกลยุทธ์
ที่อยากให้ทุกจุดขาย…ขายได้อย่างมีกลยุทธ์
