
“บางครั้งความเสี่ยงที่ไม่ถูกควบคุม คือแสงสว่างที่เผยให้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่”
🛡️การบริหารความเสี่ยงเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของมาตรฐาน PMP ทุกหลักสูตรจะย้ำเสมอว่าโครงการที่ดีต้องมีการประเมินความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ ต้องมี Risk Register ต้องรู้ว่าอะไรคือโอกาสที่จะเกิดขึ้น และหากเกิดขึ้นแล้วจะส่งผลกระทบเช่นไร รวมถึงการวางแผนตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นการหลีกเลี่ยง ลดผลกระทบ โอนความเสี่ยง หรือยอมรับมัน หลักการเหล่านี้ช่วยให้ทีมโครงการไม่ทำงานอย่างไร้การป้องกัน
แต่เมื่อเรามองจากมุมของโลกธุรกิจจริง โดยเฉพาะในยุคที่เต็มไปด้วยความผันผวนแบบ VUCA (Volatility, Uncertainty, Complexity, Ambiguity) เรากลับพบว่าการพยายามควบคุมความเสี่ยงทุกด้านไม่ได้ทำให้โครงการปลอดภัยขึ้นเสมอไป ตรงกันข้าม บางครั้งการปล่อยให้ความเสี่ยงเกิดขึ้นจริง กลับเผยให้เราเห็นจุดอ่อนรากฐานที่ไม่มีเครื่องมือใดชี้ให้เห็นได้
🏭กรณีที่ชัดเจนที่สุดคือในช่วงวิกฤตโควิด โรงงาน และธุรกิจการผลิตจำนวนมากทั่วโลกต้องหยุดชะงักโดยไม่ทันตั้งตัว หลายแห่งไม่เคยวาง Contingency Plan สำหรับสถานการณ์ที่แรงงานไม่สามารถเข้ามาทำงานได้ เครื่องจักรถูกหยุด และวัตถุดิบขาดแคลน การไม่มีการบริหารความเสี่ยงที่เพียงพอดูเหมือนเป็นความผิดพลาดร้ายแรง แต่สิ่งที่ตามมาคือองค์กรเหล่านี้กลับได้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระบบของตนเองเปราะบางตรงไหน การพึ่งพาซัพพลายเออร์รายเดียวคือจุดอ่อนที่ร้ายแรงกว่าที่คาด การไม่มีระบบดิจิทัลสำรองคือปัญหาที่ควรได้รับการแก้ไข การหยุดชะงักครั้งนั้นแม้จะสร้างความเสียหาย แต่ก็ทำให้การลงทุนด้าน Automation, Diversification และ Digitalization เกิดขึ้นจริงและยั่งยืน
ในโลกของธุรกิจดิจิทัลก็เช่นเดียวกัน หากทีมพยายามปิดกั้นความเสี่ยงตั้งแต่แรกด้วยการวิเคราะห์ ทุกความเป็นไปได้ บางครั้งพวกเขาอาจไม่กล้าลองสิ่งใหม่ แต่เมื่อยอมให้บางความเสี่ยงเกิดขึ้นจริง เช่น การปล่อยฟีเจอร์ที่ยังไม่สมบูรณ์เต็มร้อย หรือการทดลองโมเดลธุรกิจที่ยังไม่พิสูจน์ ทีมกลับได้ข้อมูลจริงจากผู้ใช้ ได้เห็นว่าอะไรคือสิ่งที่ลูกค้าต้องการจริง อะไรคือสิ่งที่ไม่จำเป็น และอะไรคือสิ่งที่ควรแก้ไขทันที
💡อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าการบริหารความเสี่ยงตามมาตรฐาน PMP เป็นเรื่องล้าสมัย ตรงกันข้าม PMP ยังคงเป็นกรอบที่ช่วยให้เราจัดการกับความเสี่ยงเหล่านี้ได้อย่างมีระบบ สิ่งสำคัญคือการตีความ Risk Management ใหม่ ไม่ใช่แค่เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา แต่เพื่อใช้มันเป็น “เลนส์” ส่องดูว่าองค์กรยังมีช่องโหว่ตรงไหน และจะเปลี่ยนปัญหานั้นให้กลายเป็นโอกาสอย่างไร
ในกรอบของ PMP เราสามารถผสมผสานวิธีนี้ได้อย่างชัดเจน เช่น การใช้ Qualitative Risk Analysis เพื่อลำดับความสำคัญของความเสี่ยง แต่ไม่จำเป็นต้องหาวิธีจัดการทุกความเสี่ยงทันที ความเสี่ยงบางข้ออาจถูกยอมรับ (Acceptance) เพื่อปล่อยให้เกิดขึ้นจริงและเก็บบทเรียน เมื่อโครงการผ่านเหตุการณ์นั้นไปแล้ว Lessons Learned Register จะถูกเติมเต็มด้วยข้อมูลจริงที่มีคุณค่ามากกว่าการวิเคราะห์เชิงทฤษฎี
นอกจากนี้ การใช้ Risk Response Plan แบบ Adaptive ยังช่วยให้โครงการไม่ต้องยึดติดกับวิธีตอบสนองแบบตายตัว หากเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นแตกต่างจากที่คาดไว้ ทีมก็สามารถปรับวิธีจัดการได้ทันที PMP ไม่ได้ห้ามสิ่งนี้ แต่กลับเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้องค์กรรับมือกับการเปลี่ยนแปลงโดยไม่เสียการควบคุม
เมื่อมองไปที่องค์กรชั้นนำ จะเห็นว่าพวกเขาไม่ได้มองความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ต้องกำจัดให้หมด แต่เป็นสิ่งที่ต้อง “บริหารให้เกิดประโยชน์” บริษัทในวงการเทคโนโลยีจำนวนมากยอมให้โครงการทดลอง (Pilot Project) ล้มเหลวเล็กๆ เพื่อให้เห็นผลกระทบจริง ก่อนจะขยายผลสู่โครงการใหญ่ในระดับองค์กร การจัดการเช่นนี้ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง แต่คือการใช้ความเสี่ยงเป็นสนามทดสอบที่มีคุณค่า
✨ดังนั้น หากจะสรุปบทเรียนในยุคนี้ เราอาจพูดได้ว่า ความเสี่ยงไม่ใช่สิ่งที่ต้องกำจัดให้หมด แต่คือสิ่งที่ต้องออกแบบให้เกิดขึ้นอย่างมีระบบและอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ PMP จึงไม่ใช่เพียงเกราะป้องกัน แต่คือแผนที่ที่ทำให้การเผชิญความเสี่ยงกลายเป็นการเรียนรู้และการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืน
เกี่ยวกับผู้เขียน
หลักสูตรที่เกี่ยวข้อง
Effective Project Management
30-31 ต.ค. 2568 (รุ่นที่ 2)
- 2 days
- KCT Academy Team
- M Level/D Level/C Level
Effective Project Management
28-29 ส.ค. 2568 (รุ่นที่ 1)
- 2 days
- KCT Academy Team
- M Level/D Level/C Level
การพัฒนาทักษะหัวหน้างาน
ยุคใหม่
15 ส.ค. 2568 (รุ่นที่ 2)
- 1 days
- KCT Academy Team
- M Level/D Level/C Level