ในทุกๆวิกฤติ ถ้าเราหาโอกาสเจอ เราย่อมจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตินั้นไปได้ แค่หามันให้เจอ คิด วิเคราะห์ และแยกแยะให้ออก สุดท้ายคือ ลงมือทำมันแค่นั้นเอง
สำหรับผม ชีวิตในงานขายเจอสารพัดของปัญหา ตั้งแต่สินค้าล้นตลาด การเรียกเก็บสินค้าคืน ปัญหาราคาที่เกือบทุกๆบริษัทจะเจอ ยิ่งสมัยนี้มี 3 ช่องทางหลัก คือ GT MT และ online ยิ่งทำให้ปวดหัวในการจัดการปัญหาราคา
ตัวอย่างที่ผมจะยกมาพูดคุยคือ สมัยที่กรุงเทพเจออุทกภัย มวลน้ำมหาศาลจากภาคเหนือไหลมาสู่ภาคกลาง และกำลังจะเข้าตัวกรุงเทพและปริมณฑล ซึ่งแน่นอนถ้าเข้ามา เราจะเจอผลกระทบที่รุนแรงทางด้านเศรษฐกิจอย่างแน่นอน
ในเวลานั้นผมดูแลฝ่ายขายของ GT บริษัทนมผงแห่งหนึ่ง โดยรูปแบบ Route to Market ของเราคือการใช้ตัวแทนกระจายสินค้า (Distributor) ทั่วประเทศ และ ตัวแทนจะกระจายสินค้าสู่ Channel หรือ ประเภทร้านค้าทั้ง supermarket / wholesale / minimart / mom&pop store ซึ่งมากกว่าหมื่นร้านค้าทั่วประเทศ (Universe ร้านค้าคือ 200,000+++ )
ในวันนั้นเราต้องวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือ SWOT Analysis จากสถานการณ์เชิงมหภาค สภาพรวมตลาด ระดับความรุนแรงของน้ำท่วม การผลิตสินค้าของโรงงานเรา จุดแข็ง/จุดอ่อนของเราและคู่แข่ง ซึ่งเมื่อเรานำข้อมูลมาวิเคราะห์แล้วด้วย TOWS Matrix Model และใช้ SO ในการกำหนดกลยุทธ์ Quick win และกระบวนการในแต่ละกลยุทธ์ ผมขอสรุปแบบง่ายๆดังนี้
- กลยุทธ์ Zero Inventory ในโรงงานและศูนย์กระจายสินค้า เราส่งทีมงานขายไปพูดคุยกับร้านค้าขนาดใหญ่ทั่วประเทศ เพื่อให้รับสินค้าเราแบบเต็มคันรถ เพราะสถานการณ์น้ำท่วมอาจทำให้ท่านไม่มีสินค้าขาย 2-3 เดือน ถ้ามวลน้ำเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพ และ เส้นทางหลัก ซึ่งเราจะ ship สินค้าจากโรงงานไปที่ร้านค้าโดยตรง เหมือน Mase-to-Order ให้แต่ละร้านค้าเลย
- กลยุทธ์ Double Volume ด้วยการจ้าง OEM ผลิตสินค้าของเราแบบเร่งด่วน และป้องกันกรณีโรงงานน้ำท่วม เราจะได้มีแหล่งผลิตสินค้าป้อนร้านค้าได้ ซึ่งผลที่ได้คือ เราสามารถเพิ่มยอดขายได้เท่าตัว และลดปัญหาสินค้าขาดได้ในระยะเวลานั้น
- กลยุทธ์ Cash on Delivery เพื่อให้ทางเราได้เก็บเงินสดในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ และความต้องการสินค้าของเราสูง การเก็บเงินสดก่อนส่ง จึงเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก ณ เวลานั้น
ซึ่งผลของการดำเนินการตามกลยุทธ์ เราสามารถบรรลุเป้าหมายได้ตามวัตถุประสงค์(เหมือนโม้เลย แต่เรื่องจริงนะครับ555) และ โชคดีคือมวลน้ำไม่ท่วมที่โรงงานเรา แต่เมื่อเราเลือกทำตามกลยุทธ์นี้ ทำให้เราสามารถปิดยอดขายประจำปีได้ และ สำคัญคือ inventory ของสินค้าแทบจะเป็น zero ทำให้เราสามารถเปิดปีศักราชใหม่ด้วยยอดขายโตมากกว่าเท่าตัว เพราะเราต้องเติม stock ใน Distributor อย่างน้อย 14 วัน และ ในร้านค้าโดยประมาณคือ 1 เดือน ทำให้เราสามารถฝ่าวิกฤติด้วย Quick win strategy จาก วิกฤติครั้งนี้ได้ครับ
เมื่อรุ่นพี่เจอหัวหน้าที่ "ไม่เก่ง": บทเรียนการจัดการจากเรื่องจริง
🤔ปีที่แล้วผมมีโอกาสได้พูดคุยกับรุ่นพี่ที่เคยทำงานด้วยกันมาเมื่อสิบปีก่อน ตอนนี้รุ่นพี่ก็ไปทำงานกับบริษัทอื่นในตำแหน่งเดิมเหมือนที่เคยทำมาตลอดหลายสิบปี ก็เคยถามว่าทำไมพี่ถึงไม่ได้โปรโมทสักที รุ่นพี่ตอบว่า พี่ชอบทำงานแบบนี้ พี่ชอบในเนื้องานและพี่ทำงานแบบนี้มาตลอด จะให้พี่ไปทำงานแบบวางกลยุทธ์หรือทำงานกับผู้บริหารระดับสูงๆ พี่ไม่เอา และพี่ก็พอใจกับรายได้ปัจจุบันเพราะพี่ไม่มีหนี้ มันบ่งบอกว่า พี่เขาได้ทำงานที่เขามีความสุขกับรายได้พี่พึงพอใจแล้ว กลับมาที่ตัวเรา งานที่เราทำ เรารักงานที่ทำไหม เราพอใจกับรายได้ไหม ถ้าไม่ เราก็ต้องพัฒนาตัวเองต่อไป เพราะโลกการแข่งขันสมัยนี้เร็ว คู่แข่งเยอะมาก และตลาดที่เปลี่ยนเร็วมากๆ
กลับมาในส่วนที่พูดคุยกับรุ่นพี่ เขามีปัญหามาปรึกษา ด้วยหัวหน้าที่ทำงานไม่เก่ง(พี่เขาอาจคิดไปเองก็ได้นะ) ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ ไม่กล้าเสี่ยง ไม่เคยออกตลาด พี่จะทำยังไงดี เพราะมันทำให้ขับเคลื่อนลำบาก ผมเลยถามว่าแล้วพี่ทำงานยังไงล่ะพี่เขาก็บอกมีอะไรพี่ก็ไปปรึกษาหัวหน้าของหัวหน้าเขาเลย หรือไม่พี่ก็โทรคุยกับฝ่ายที่เกี่ยวข้องเองเลย ตัดปัญหา
ผมถามต่อ แล้วพี่ทำแบบนี้ หัวหน้าพี่ไม่ว่าเหรอ แล้วหัวหน้าพี่รู้เรื่องไหม เขาก็บอกว่า เขารู้แต่เขาก็ไม่ว่าอะไร เขาสบายจะตาย ไม่สนใจหรอก องค์กรนี้เขาอยู่มานาน เขาสบายอยู่แล้ว
แล้วพี่มาปรึกษาผมเรื่องอะไร พี่เขาบอก พี่เหนื่อย ปัญหาในตลาดก็เยอะ แต่บริษัทไม่สามารถขับเคลื่อนได้เพราะมีหัวหน้าแบบนี้ พี่ต้องลงไปทำเองเกือบทุกอย่างคนในทีมก็เริ่มไม่พอใจ เพราะทำอะไรก็ไม่ได้ ไม่มีอะไรดีขึ้นเลย ผมถามต่อ ถ้าผมแนะนำแล้วพี่จะทำไหม ถ้าผมมีแนวทางให้พี่ 3 ทางเลือก คือ
ร้องเรียนหัวหน้าใหญ่
พี่กล้าจะไปบอกหัวหน้าใหญ่ไหมแบบพวกทั้งหมดที่ไม่พอใจ แล้วร้องขอให้หัวหน้าย้ายไปทำตำแหน่งอื่น พี่มีหลักฐานไหม พี่มีพยานไหม และพี่คิดว่าหัวหน้าใหญ่จะฟังพี่ไหม และถ้าเขาไม่ฟังพี่ ผลลัพธ์ที่จะเกิดกับพี่คืออะไร พอพูดไป รุ่นพี่ผมเริ่มคิด เพราะเริ่มจะกระทบความไม่มั่นคงในหน้าที่ตัวเอง
ทำแบบเดิม (ข้ามหัว)
พี่ก็ทำแบบเดิมเลย เมื่อพี่มองเขาไม่มี value (คุณค่า) พี่ก็ข้ามหัวเขาไป ทำงานแบบเดิม แต่พี่ก็จะเหนื่อยแบบเดิม และเขาก็รู้สึกสบายเพราะพี่ทำแทนเขาหมด พี่คิดว่าผลลัพธ์ระยะยาวจะเป็นยังไง เขาเริ่มคิด เขาคงเหนื่อยเหมือนเดิม และการขับเคลื่อนไปข้างหน้าก็จะเหมือนเดิม แถมหัวหน้าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะ...พวกพี่ไม่คุยกันมากพอ
สร้าง Value ให้หัวหน้า
พี่ก็ดึงหัวหน้าพี่ให้มาอยู่ในวงของพี่สิ พี่ก็สร้าง value ให้กับหัวหน้าพี่ แทนที่พี่จะมองหัวหน้าแบบเดิมพี่ต้องมาวิเคราะห์ปัญหาและแนวทางร่วมกันในอนาคต
จบตรงนี้ผมจึงวิเคราะห์ปัญหาในทีมงานของรุ่นพี่ได้จากเครื่องมือ ADKAR ใช้ในการเปลี่ยนทีละขั้น เข้าใจปัญหาในแต่ละจุด...ประกอบไปด้วย
- Awareness (การตระหนักรู้): หัวหน้าอาจไม่ตระหนักถึงความไม่กล้าของตัวเองจะเป็นปัญหาเชิงลบต่อทีม
- Desired (ความปรารถนาในการเปลี่ยนแปลง): หัวหน้ายังไม่มี่ความปรารถนาในการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เพราะกลัวจะถูกตำหนิ กลัวจะเสียการควบคุม กลัวจะหลุดจาก comfort zone ของตัวเอง
- Knowledge (ความรู้ว่าจะเปลี่ยนอย่างไร): หัวหน้าขาดทักษะในการจัดการ การมอบหมายงาน หรือ การบริหารความคาดหวังในทีม
- Ability (ความสามารถในการเปลี่ยนแปลง): หัวหน้าไม่มีเคยลงมือทำ (แม้)หัวหน้าอาจมีทักษะนั้นๆก็ได้ เพราะขาดประสบการณ์
- Reinforcement (การเสริมแรงเพื่อรักษาสถานะ): หากหัวหน้ากล้าตัดสินใจ แต่ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามที่หวัง พฤติกรรมหรือแนวการทำงานของหัวหน้าอาจกลับมาเหมือนเดิม
⏳แล้วรอชมตอนต่อไปนะครับ..ว่า...ผมแนะนำแนวทางการจัดการปัญหานี้อย่างไร?
