“เก่งงาน” แล้ว… พร้อมเป็น “หัวหน้า” รึยัง? กับภารกิจเปลี่ยนร่างจากมือทำงาน เป็นผู้นำทีม!

“เก่งงาน” แล้ว… พร้อมเป็น “หัวหน้า” รึยัง? กับภารกิจเปลี่ยนร่างจากมือทำงาน เป็นผู้นำทีม!

ทำไม “Leading KPI” จึงสำคัญกว่าที่เราเคยมองเห็น

และทำไมคนที่เข้าใจ QA จึงมีอาวุธที่ QC ไม่มี

ในโลกของการทำงานจริง ไม่ใช่ทุกคนจะฟังเหตุผลเพียงเพราะมัน “ถูก”
หลายครั้ง ความถูกต้องกลับถูกตีความว่าเป็นการท้าทาย
โดยเฉพาะเมื่อปลายทางของถ้อยคำนั้นไปกระทบ “Ego” ของใครบางคนโดยไม่ตั้งใจ
ยิ่งคนที่กลัวการถูกวิจารณ์ ยิ่งระแวดระวังคำพูดธรรมดาของเรา
เพราะเขาไม่ได้ยินแค่ว่า “สิ่งนี้ควรปรับ”
แต่เขาได้ยินว่า “คุณไม่ดีพอ”
ในสถานการณ์แบบนี้ การใช้คำพูดที่ “นุ่มแต่ไม่อ่อน” และ “ชัดแต่ไม่ทิ่มแทง”
คือกุญแจสำคัญที่จะไม่เพียงรักษาความสัมพันธ์ แต่ยังขับเคลื่อนงานได้จริง

ลองใช้ 3 เทคนิคต่อไปนี้ หากคุณอยากให้เขาฟัง…โดยไม่รู้สึกว่ากำลังแพ้
1. Technique: Positive Sandwich
(ชม – ขอปรับ – ปิดด้วยความร่วมมือ)
เพราะไม่มีใครอยากเริ่มบทสนทนาด้วยคำว่า “คุณควรทำแบบนี้”
จงเริ่มด้วยการชื่นชมในสิ่งที่เขาทำได้ดี
แล้วค่อยเชิญชวนให้ร่วมมือในการ “เสริมจุดแข็งให้เต็มขึ้น”
ปิดท้ายด้วยการส่งสัญญาณว่า “เราจะทำสิ่งนี้ไปด้วยกัน ไม่ใช่โยนให้คุณลำพัง”
ตัวอย่าง
“ผมว่าคุณวางแกนของไอเดียนี้ไว้ดีมากเลยครับ ดูมีประสบการณ์อยู่ในนั้น
ผมขอเสนออีกมุมหนึ่งเพิ่มเข้าไปดูไหมครับ เผื่อจะทำให้มันยิ่งเฉียบขึ้น
เดี๋ยวผมลองร่าง rough ไว้ให้ แล้วเราค่อยดูด้วยกันอีกทีครับ”

2. Technique: Emotion Labelling
(สะท้อนอารมณ์ แทนการโต้แย้ง)
เมื่ออีกฝ่ายเริ่มตั้งการ์ด แทนที่จะสวนกลับด้วยเหตุผลหรือโต้ด้วยพลัง
ให้ “สะท้อนสิ่งที่เขาน่าจะรู้สึก” ออกมาก่อน
เพราะทันทีที่เขารู้ว่า “คุณฟังด้วยใจ ไม่ใช่เพื่อหาจุดผิด”
เขาจะลดการป้องกัน และเปิดพื้นที่ให้เหตุผลของคุณค่อย ๆ แทรกตัวเข้าไป
ตัวอย่าง
“ผมเข้าใจนะครับว่ามันน่าหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน ที่ทำงานหนักแต่ยังรู้สึกเหมือนโดน challenge ตลอด
ผมเองก็ไม่ได้อยากให้คุณต้องปวดหัวนะครับ แค่คิดว่าถ้าเราร่วมกันปรับจุดนี้ มันอาจช่วยให้ภาพรวมลื่นขึ้นก็เลยลองเสนอไว้ดู”

3. Technique: Use “We” Not “You”
(เปลี่ยนจากการชี้นิ้ว → เป็นการสร้างทีม)
แค่เปลี่ยนคำขึ้นต้นของประโยค จาก “คุณต้อง…” เป็น “เราน่าจะ…”
อำนาจของคำพูดก็เปลี่ยนทันที
จากเดิมที่เหมือนการสั่งกลายเป็นการชวน
จากเดิมที่เหมือนการชี้ผิดกลายเป็นการพายเรือด้วยกัน
ตัวอย่าง
“เราน่าจะลองวาง flow ใหม่อีกนิดไหมครับ จะได้เชื่อมกับส่วนของทีมออกแบบได้สมูธขึ้น”
หรือ
“เราน่าจะลองรีเช็ค timeline ดูอีกที เผื่อปรับตรงกลางให้ไม่กดดันกันเกินไปครับ”

การสื่อสารกับคนที่มี Ego สูง ไม่ใช่เรื่องของการประจบ
แต่คือศิลปะของการทำให้เขารู้ว่า “เขาไม่ถูกทิ้ง” และ “ไม่ถูกลดค่า”
เมื่อคนรู้สึกปลอดภัยพอ เขาจะฟัง
เมื่อเขารู้ว่าคุณเห็น “เจตนาดี” ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความแข็งกระด้างของเขา
เขาอาจไม่เปลี่ยนทันที…แต่เขาจะเริ่ม “หยุดป้องกัน”
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการร่วมมือที่แท้จริง
เพราะการทำงานกับใครสักคน ไม่ได้ต้องเริ่มจากความเข้าใจหรอก
แค่เริ่มจากความ เคารพในมนุษย์อีกคนหนึ่งที่ยังมีบาดแผล
มันก็เพียงพอแล้ว ที่จะสร้างพื้นที่ให้เหตุผลเดินทางไปถึงใจ

“เก่งงาน” แล้ว… พร้อมเป็น “หัวหน้า” รึยัง?

🤔ลองหลับตาแล้วนึกภาพตัวเองตอนโดนเรียกเข้าห้องหัวหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัว... โต๊ะประชุมเงียบกริบ น้ำในขวดก็ไม่กล้าริน หัวใจก็เต้นตุ๊บ ๆ เพราะไม่รู้ว่าเรื่องดีหรือเรื่องด่วน แล้วเสียงหัวหน้าก็ดังขึ้นเบา ๆ แต่เต็มไปด้วยความหมาย: "เรามีข่าวดีจะบอก… เราอยากให้คุณขึ้นเป็นหัวหน้าทีม!"

วินาทีนั้น สมองเหมือนจะระเบิดออกเป็นสองซีก

ซีกหนึ่งกรี๊ดอยู่ข้างใน “เย้! โปรโมตแล้ว!”

อีกซีกหนึ่งเริ่มประมวลผลแบบ AI …

  • “เราจะเริ่มยังไงอะ?”
  • “ต้องพูดยังไงเวลาลูกทีมทำผิดโดยไม่เสียความสัมพันธ์?”
  • “จะมอบหมายงานยังไงไม่ให้โดนบ่นว่าลำเอียง?”
  • “ต้องประชุมกับทีมยังไงให้ดูโปร ไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงานคนนึง?”
  • “เข้าใจธุรกิจมากพอไหม หรือยังคิดแค่ให้งานตัวเองเสร็จไปวัน ๆ?”
  • “เดี๋ยว… กฎหมายแรงงานนี่เราเคยเรียนตอนปี 1 เองนะ! ยังพอจำได้มั้ยว่า ‘ลาออกต้องแจ้งล่วงหน้ากี่วัน’!?”
ผู้นำกำลังคิดวิเคราะห์

จากที่เคยทำงานด้วยมือของเราเอง ตอนนี้ ต้องเรียนรู้ “ศิลปะของการทำงานผ่านคนอื่น” และนั่นแหละครับ... ที่ทำให้ตำแหน่ง “หัวหน้า” เป็นอีกบทบาทที่ “ไม่ได้ยากเพราะไม่มีคำตอบ แต่ยากเพราะทุกคำตอบต้องใช้ ‘คน’ เป็นตัวแปร”

แล้วจะเริ่มจากตรงไหนดี?

ลองดู How-to เบื้องต้น ที่เราสรุปมาให้แบบย่อยง่าย ๆ เอาไว้อ่านตอนรอประชุม หรือก่อนนอนคืนนี้ก็ยังทัน!

1

เปลี่ยน Mindset จาก “ฉันทำเอง” → “ฉันทำให้คนอื่นทำได้”

หัวหน้าไม่ได้เก่งที่สุดในห้อง… แต่ต้องทำให้ “ทุกคนในห้องเก่งขึ้น” ลองถามตัวเองว่า... วันนี้คุณมอบหมายงาน หรือกำลังทำแทนลูกทีม?

2

ฟังให้เยอะขึ้น พูดให้น้อยลง (แต่พูดให้ชัดขึ้น)

หัวหน้าที่ดีพูดไม่เยอะ… แต่พูดแล้วเข้าใจ ใช้โมเดลง่าย ๆ อย่าง SBI เวลาจะให้ Feedback: S = Situation / B = Behavior / I = Impact ฟังดูง่าย แต่ลองทำแล้วจะรู้ว่า “ไม่ง่าย… แต่ได้ผล”

3

เข้าใจเป้าหมายของ “ทีม” ไม่ใช่แค่ของ “เรา”

หัวหน้าที่ดี ต้องเชื่อมเป้าหมายของทีมเข้ากับเป้าหมายขององค์กรให้ได้ ต้องคิดทั้งเรื่องเวลา ทรัพยากร และความคุ้มค่าของทุกการตัดสินใจ (ใครว่าหัวหน้าไม่ต้องคิดเรื่องต้นทุน… คิดผิด!)

4

ไม่ต้องรู้กฎหมายแรงงานทั้งหมด… แต่ต้องรู้ให้พอ “ป้องกันความเสี่ยง”

คุณไม่ใช่ HR… แต่คุณคือตัวแทนนายจ้างในสายตาลูกน้อง รู้ไว้ใช่ว่า! อย่างน้อยเรื่องลา คำเตือน โอที และวินัย เพราะถ้าตอบผิด… องค์กรอาจจ่ายหนักกว่าที่คุณคิด

5

อย่าลืม… ดูแลตัวเองด้วย

หัวหน้าหลายคนเก่งงาน เก่งทีม… แต่ลืมดูแลใจตัวเอง คุณไม่จำเป็นต้องเก่งทุกเรื่อง แต่ต้องมีแรงใจเดินหน้าต่อ เติมพลังให้ตัวเองด้วยการเรียนรู้ และอยู่ในวงล้อมของหัวหน้าที่พร้อมแบ่งปัน

ทีมงานที่ประสบความสำเร็จ

ถ้าคุณเพิ่งได้เป็นหัวหน้า และกำลังรู้สึกว่า “ฉันจะไหวไหมนะ…”

ขอให้รู้ไว้อย่างหนึ่งว่า... ไม่มีใครเริ่มต้นจากความพร้อม 100% หรอกครับ แต่ทุกคนที่ “ตั้งใจเรียนรู้” จะก้าวไปได้ไกลกว่าที่คิดเสมอ

เพราะ “ตำแหน่ง” อาจได้มาจากความเก่ง
แต่ “ความไว้วางใจ” ได้มาจากการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำที่เข้าใจคน

และคุณ... กำลังอยู่บนเส้นทางนั้นแล้ว

เกี่ยวกับผู้เขียน

อาจารย์ ไกรกิติ ทิพกนก

Languages: EN I TH

Ready to join our knowledge castle?

Find the right program for your organization and achieve your goals today

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save