การเป็นนักรบ ย่อมต้องไม่เกี่ยงสนามรบ การทำงานผู้บริหาร ย่อมต้องไม่กลัวการโยกย้าย และมองการโยกย้ายคือโอกาสในการแสดงความสามารถความก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไป
สำหรับสมัยผมเป็นผู้จัดการภาคใต้ แล้ววันหนึ่งหัวหน้าผมโทรมาถามว่า
“จิ๊ป สนใจไปทำงานเขมรไหม”
ผมฟังแล้วผมตอบกลับไปทันที
“ ไปครับพี่ ให้ผมไปทำอะไร”
คือผมเชื่อมั่นหัวหน้าที่ผมรักมากที่สุดว่า พี่คงมอบโอกาสให้ผมเติบโตแน่ๆ แล้วพี่ก็ตอบกลับว่า “ไปเป็น country manager ดูแลประเทศกัมพูชา และถ้าสนใจต้องไปสัมภาษณ์กับ GM ที่ประเทศเวียดนาม เพราะจะต้อง direct report ตรงที่ GM เวียดนาม” ผมฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เพราะรู้สึกเหมือนกำลังจะออกรบกับตลาดที่แตกต่างจากประเทศ มันคงมีอะไรแปลกใหม่ น่าสนุกนะ แม้ภาษาเราจะไม่ได้ดีมาก แต่คิดว่าก็คงไม่ต่างจากประเทศเราแหละ
เมื่อผมตอบตกลง เจ้านายผมก็จองตั๋วเครื่องบินให้ไปสัมภาษณ์ในสัปดาห์ต่อมา ผมนี่ตื่นเต้นมากๆ บินไปคนเดียว แล้วก็นั่ง Taxi จากสนามบินไปพบ GM ที่ออฟฟิศ ครั้งแรกที่ผมเจอ GM ซึ่งต่อมาเขาคือเจ้านายที่ผมเคารพรักมากๆคนหนึ่ง เพราะท่านเป็นแนว Empowerment ผสมกับสอนผมในมุมมอง Big Picture มากขึ้น
ตอนสัมภาษณ์ผม แกอธิบายถึงสภาพตลาดเขมร องค์กรเขมรยังคงไม่ได้เป็นรูปแบบบริษัทชัดเจนนัก หน้าที่ของผมจึงไม่แค่ไปดูแลยอดขาย แต่ผมต้องไปดูแล DKSH ซึ่งเป็นตัวแทนกระจายสินค้าในเขมร รวมทั้งผมต้องดูแลแผนก Marketing / Trade Marketing / Nutrition / Finance / Supply-chain / HR คือไม่เคยดูมาก่อน
ผมบินไปทำงานในเดือนมีนาคม 2008 ในตำแหน่ง Country Manager ซึ่งเมื่อผมถึงที่ทำงาน ยอมรับเลยประหม่าเพราะทักษะภาษาอังกฤษ ของคนที่นั่นในระดับ Manager คือ ดีมากๆ จนผมอุทานในใจ ผมจะรอดไหมน้อ 555
แต่เมื่อเรามาแล้ว การรับน้องย่อมต้องมี การดูถูกความสามารถเรา ก็ต้องมี แต่สิ่งที่เรามีการ engagement คือ การสร้างพันธมิตรด้วยการบริหารหลากสไตล์มากเพราะเราคือคนไทยคนเดียว เลยแยกตามนี้
บริหารแบบประชาธิปไตย Democratic คือ ในการทำอะไรเราจะใช้เสียงของ Head of Department เพื่อให้เขายอมรับในการตัดสินใจในการทำแต่ละ Project
บริหารแบบเปลี่ยนแปลง Transformational คือ การปรับโครงสร้างองค์กร ผลประโยชน์ต่างๆ และการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มขึ้นในเวลานั้น
บริหารแบบโค้ชชิ่ง Coaching คือ เน้นสอนในสิ่งที่เรารู้ ออกตลาดทำให้ดู เพราะตลาดเขมรตอนนั้นคือ General Trade มากๆ ร้านของชำจะมีมากกว่า ร้านสมัยใหม่ จึงสามารถใช้กระบวนการ In-field coaching ได้ง่าย
ผมทำงานที่นั่นเกือบ 3 ปี จนผูกพัน และเขมรคือบ้านหลังที่สองของผม ผมรักทีมงานผมที่นั่นมากๆ เหมือนครอบครัวเรา ทุกวันนี้ยังติดต่อกันอยู่เพราะเราคือพี่น้องกันจริง
นักรบไม่เกี่ยงสนามรบ: บทเรียนจากการเป็น Country Manager
สำหรับสมัยผมเป็นผู้จัดการภาคใต้ แล้ววันหนึ่งหัวหน้าผมโทรมาถามว่า “จิ๊ป สนใจไปทำงานเขมรไหม” ผมฟังแล้วผมตอบกลับไปทันที “ ไปครับพี่ ให้ผมไปทำอะไร”
คือผมเชื่อมั่นหัวหน้าที่ผมรักมากที่สุดว่า พี่คงมอบโอกาสให้ผมเติบโตแน่ๆ แล้วพี่ก็ตอบกลับว่า “ไปเป็น country manager ดูแลประเทศกัมพูชา และถ้าสนใจต้องไปสัมภาษณ์กับ GM ที่ประเทศเวียดนาม เพราะจะต้อง direct report ตรงที่ GM เวียดนาม” ผมฟังแล้วรู้สึกตื่นเต้นมากๆ เพราะรู้สึกเหมือนกำลังจะออกรบกับตลาดที่แตกต่างจากประเทศ มันคงมีอะไรแปลกใหม่ น่าสนุกนะ แม้ภาษาเราจะไม่ได้ดีมาก แต่คิดว่าก็คงไม่ต่างจากประเทศเราแหละ
เมื่อผมตอบตกลง เจ้านายผมก็จองตั๋วเครื่องบินให้ไปสัมภาษณ์ในสัปดาห์ต่อมา ผมนี่ตื่นเต้นมากๆ บินไปคนเดียว แล้วก็นั่ง Taxi จากสนามบินไปพบ GM ที่ออฟฟิศ ครั้งแรกที่ผมเจอ GM ซึ่งต่อมาเขาคือเจ้านายที่ผมเคารพรักมากๆคนหนึ่ง เพราะท่านเป็นแนว Empowerment ผสมกับสอนผมในมุมมอง Big Picture มากขึ้น
ตอนสัมภาษณ์ผม แกอธิบายถึงสภาพตลาดเขมร องค์กรเขมรยังคงไม่ได้เป็นรูปแบบบริษัทชัดเจนนัก หน้าที่ของผมจึงไม่แค่ไปดูแลยอดขาย แต่ผมต้องไปดูแล DKSH ซึ่งเป็นตัวแทนกระจายสินค้าในเขมร รวมทั้งผมต้องดูแลแผนก Marketing / Trade Marketing / Nutrition / Finance / Supply-chain / HR คือไม่เคยดูมาก่อน
ผมบินไปทำงานในเดือนมีนาคม 2008 ในตำแหน่ง Country Manager ซึ่งเมื่อผมถึงที่ทำงาน ยอมรับเลยประหม่าเพราะทักษะภาษาอังกฤษ ของคนที่นั่นในระดับ Manager คือ ดีมากๆ จนผมอุทานในใจ ผมจะรอดไหมน้อ 555
แต่เมื่อเรามาแล้ว การรับน้องย่อมต้องมี การดูถูกความสามารถเรา ก็ต้องมี แต่สิ่งที่เรามีการ engagement คือ การสร้างพันธมิตรด้วยการบริหารหลากสไตล์มากเพราะเราคือคนไทยคนเดียว เลยแยกตามนี้
บริหารแบบประชาธิปไตย (Democratic)
ในการทำอะไรเราจะใช้เสียงของ Head of Department เพื่อให้เขายอมรับในการตัดสินใจในการทำแต่ละ Project
บริหารแบบเปลี่ยนแปลง (Transformational)
การปรับโครงสร้างองค์กร ผลประโยชน์ต่างๆ และการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มขึ้นในเวลานั้น
บริหารแบบโค้ชชิ่ง (Coaching)
เน้นสอนในสิ่งที่เรารู้ ออกตลาดทำให้ดู เพราะตลาดเขมรตอนนั้นคือ General Trade มากๆ ร้านของชำจะมีมากกว่า ร้านสมัยใหม่ จึงสามารถใช้กระบวนการ In-field coaching ได้ง่าย
ผมทำงานที่นั่นเกือบ 3 ปี จนผูกพัน และเขมรคือบ้านหลังที่สองของผม ผมรักทีมงานผมที่นั่นมากๆ เหมือนครอบครัวเรา ทุกวันนี้ยังติดต่อกันอยู่เพราะเราคือพี่น้องกันจริง
